One Only Way

Bhikkhus, this is the one and the only way
for the purification (of the minds) of beings,
for overcoming sorrow and lamentation,
for the cessation of physical and mental pain,
for attainment of the Noble Path.
and for the realization of Nibbana .
That (only way) is the four satipatthanas .
Powered By Blogger

คำนำ

One Only Way เป็น Blog เพื่อการเรียนรู้ มหาสติปัฏฐานสูตร

ผู้เรียบเรียงได้นำมหาสติปัฏฐานสูตร จากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ มาจัดย่อหน้า วรรคตอนใหม่ เพื่อให้สามารถอ่าน ทำความเข้าใจและจดจำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ได้นำฉบับแปลภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส มาเทียบเคียงกับภาษาไทย เพื่อเพิ่มความเข้าใจ ท่านที่เคยอ่านสูตรนี้ โปรดดูและพิจารณาโครงสร้างของมหาสติปัฏฐานสูตรด้วย
ผู้เรียบเรียงขอกราบนมัสการด้วยความเคารพและระลึกในพระคุณของท่านผู้แปลทุกท่าน
ขอขอบพระคุณในทุกความเห็น คำแนะนำ และการชี้ข้อผิดพลาดที่มีอยู่ ทั้งนี้เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสำคัญในการปรับปรุงแก้ไข และเป็นประโยชน์ในการร่วมกันเรียนรู้มหาสติปัฏฐานสูตรตลอดไป


________________________________________________
Powered By Blogger

ทำไมมนุษย์ทุกคนควรเรียนรู้ มหาสติปัฏฐานสูตร ?

  • มหาสติปัฏฐานสูตร เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จักนำตน พ้นจากความชั่ว ไปสู่ความดี และมีใจผ่องใสในท่ีีสุด พระพุทธองค๋ได้ทรงแสดงไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่วัตถุประสงค์ เป้าหมาบ วิธีการ และผลท่ีจะได้รับ ในกำหนดเวลาน้อยที่สุดเพียง 7 วัน เท่านั้น
  • " ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
  • พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
  • จากข้อ [๓๐๐] มหาสติปัฏฐานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐.
  • ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่เต่าตาบอด ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ จะสอดคอเข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นเป็นของยาก."
  • พระผู้มีพระภาค " ฉันนั้นภิกษุทั้งหลาย การได้ความเป็นมนุษย์เป็นของยาก พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลกเป็นของยาก ธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วจะรุ่งเรืองในโลกก็เป็นของยาก
  • ความเป็นมนุษย์นี้เขาได้แล้ว พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติแล้วในโลก และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วก็รุ่งเรืองอยู่ในโลก
  • ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละเธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
  • จาก ข้อ[๑๗๔๔] ว่าด้วยการได้ความเป็นมนุษย์ยาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

การได้ความเป็นมนุษย์ยาก

การได้ความเป็นมนุษย์ยาก
โปรดคลิกที่รูป

เรามีเวลาเหลือ

หากเรามีชีวิตอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ เรามีเวลาเหลือ




ชีวิตนั้นสั้นนักหนา สิ้นสุดได้ทุกขณะ มรณะมาเมื่อใดมิรู้ได้

Powered By Blogger

ความเร็วจิต

  • ลัดนิ้วมือเดียว จิตเกิดดับ แสนโกฏิขณะ ( 1 โกฏิ = 10 ล้าน)
  • ลัดนิ้วมือเดียว ระยะประมาณ 9 ซม. กินเวลาประมาณ 1 วินาที
  • แสนโกฏิ = 1,000,000,000,000 ( 1 ล้าน ล้าน )
  • 1 GHz = 1,000,000,000 Hz = 1,000 MHz
  • ความเร็วจิต = 1,000 GHz
  • เครื่องคอมพืวเตอร์ที่ใช้กันอยู่มีความเร็วท่ีสุด 3 GHz
  • ความเร็วแสง = 300,000  กม./ วินาที
  • ความเร็วจิต = 90,000,000  กม./ วินาที
  • เร็วกว่าแสง 300 เท่า [ ผิดถูก ท่านผู้รู้ โปรดพิสูจน์ด้วย ]

21 มิถุนายน 2550

การเรียนรู้มหาสติปัฏฐานสูตร




แหล่งข้อมูลภายนอก

1. หนังสือ และสื่ออื่นๆ



มหาสติปัฏฐานสูตร ที่ ๙
พระไตรปิฏก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๑๐
ทีฆนิกาย มหาวรรค
หน้าที่ ๒๕๗ - ๒๗๗.

BUDSIR /TT V.2

www.84000.org

Mahasatipatthana Sutta
 Translated by U Jotika & U Dhamminda
www.buddhanet.net/e-learning/mahasati.htm

The Way of Mindfulness
by Soma Thera
www.accesstoinsight.org/lib/authors/soma/wayof.html

Maha Satipatthana Sutta
GRAND DISCOURS SUR L'ETABLISSEMENT DE L'ATTENTION Collection des longs discours (Diggha Nikâya) - n° 22.
Traduction originale de Vén. Dhammapâlita Bhikkhu www.theravada.org/enseignement/textes/satipatthana.html


2. ความรู้และประสบการณ์จากวิชาอื่นๆ

3. การสังเกตความเป็นไปของชีวิตอื่น โดยเฉพาะคนอื่น

4. การสนทนาธรรมกับผู้รู้



ข้อมูลเหล่านี้เปรียบเสมือนแผนที่ หรือตำราสอนกีฬาต่างๆ เป็นเพียงการบอกทาง หรือ การบอกวิธีการเท่านั้น การจะนำตัวเองถึงจุดหมายได้ ก็ต้องเดินทางเอง เท่านั้น หรือ การที่จะเล่นกีฬาเป็นก็ต้องลงไปเล่นเอง ฝีกเอง


แหล่งข้อมูลภายใน



สิ่งที่ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไป ตลอดเวลา ในตัวของเราเอง

  การได้สังเกต พิจารณา และ เข้าถึงความจริง เหล่านี้ เหมือนการได้้เดินทางตามแผนที่จนถึงจุดหมาย หรือ การได้ลงหัดว่ายน้ำ จนว่ายน้ำเป็น


ภาษา



เป็นเพียงสิ่งสมมติ เป็นเพียงสื่อ แต่เป็นสิ่งจำเป็น ที่ื่จะนำไปสู่ ความเป็นจริง (ธรรม)
หากไม่มีภาษาก็ไม่สามารถสื่อกันรู้เรื่อง

สิ่งที่จริงสิ่งหนึ่ง ต่างภาษาก็เรียกต่างกันไป ตามท่ีสมมติกันไว้
เช่น ร้อน จีนว่ายั๊วะ อังกฤษว่าฮ๊อท ฝรั่งเศสว่าโชด์ คนที่ไม่รู้ภาษานั้นก็ย่อมไม่รู้ความหมาย
แต่เมื่อเข้าถึงความจริง (ธรรม) คือ เมื่อถูกของร้อน ไม่ว่าคนชาติไหนภาษาไหนก็ย่อมรู้ตรงกัน

ภาษาเป็นตัวอย่างที่ดีของการศึกษาธรรม การที่เราสามารถอ่านหนังสือได้นั้น
เพราะว่าเราจำ อักษร สระ วรรณยุกต์ได้ และ รู้ว่าเมื่อผสมกันแล้ว อ่านออกเสียงอย่างไร หมายถีงอะไร
เช่นเดียวกับการเรียนรู้ธรรม เมื่อมีสิ่งใดเกิดขี้นในกาย หรือในใจของเรา ก็รู้สิ่งนั้น รู้สึกอย่างไร จดจำได้
และเรียกตามภาษาที่สมมติกัน เพื่อสื่อกันให้เข้าใจได้
เราสามารถอ่านใจของเราเองได้ เมื่อตามรู้ด้วยสติ มีสมาธิ และเกิดปัญญาเหมือนอ่าน หนังสือรู้เรื่อง
เมื่อพิจารณาตามความเป็นจริงก็จะพบเหตุที่ทำให้เกิดสิ่งนั้น และเมื่อหมดเหตุ สิ่งนั้นก็ย่อมดับ
หากขาดสติ สิ่งที่จะเกิดก็เป็นไปตาม ความยินดี ความยินร้ายที่เกิดขึ้น



เครื่องมือ



ใช้

ความเพียร

สัมปชัญญะ

สติ


เหมือนการเดินจากจุด ไปยังจุด

ความเพียร คือ การเริ่มต้นก้าวแรกจากจุด และก้าวต่อไปอย่างต่อเนื่อง จนถึงจุด
ในขณะเดียวกันก็ป้องกันและกำจัดความต้องการอื่น เช่น หยุดเดิน เดินถอยหลัง หรืิอ เดินไปทางอื่น

สัมปชัญญะ คือ ทำความรู้สึกตัวตลอดว่ากำลังทำอะไรอยู่และ จะทำอย่างไรเพื่อให้ไปถีงจุด

สติ คือ รู้สิ่งที่กำลังปรากฏขึ้นในขณะปัจจุบัน ในทุกย่างก้าวที่เดิน อย่างชัดเจน



การเตรียมตัว



1. อ่านแล้วอย่าเชื่อทันที คำถามเป็นต้นทางของปัญญา

2. อ่านสูตรนี้ซ้ำหลายๆครั้ง ความรู้ใหม่เกิดขึ้นเสมอ

3. คัดลอกแล้วจัดข้อความและวรรคตอนใหม่
ให้สีข้อความ เพื่อให้อ่าน เข้าใจ และจำ ง่ายขึ้น
เสร็จแล้วอ่านสูตรนี้ซ้ำอีกหลายๆครั้ง

4. วิเคราะห์รูปแบบและโครงสร้างของสูตรนี้

5. ต้องรู้ให้ชัดว่าอะไรเป็นเหตุ อะไรเป็นผล ในขณะนั้น เช่น ไม่ยึดมั่น เป็นผล ใจเย็นๆ ก็เป็นผล เหตุ คือ ทำอย่างไรถึง
ให้เกิดผลนั้น ซึ่งเป็นเรื่องท่ีต้องเรียน ฝึกฝน จนรู้จริง จึงเกิดผลได้ มิใช่เกิดขึ้นได้เพียงแค่นึก หรือพูด





แนวทางการเรียนรู้



เริ่มต้นด้วยการดู มหาสติปัฏฐานสูตร ในภาพกว้าง แล้วค่อยดูรายละเอียด
ในแต่ละบรรพ


อะไร



หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ


เพื่ออะไร



เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์

เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ

เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส

เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง

เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

๔ ประการ เป็นอย่างไร



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้

พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ


เป้าหมาย



กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้

ด้วยการเดินตาม หนทางนี้ อันเป็น
หนทางเดียว ไม่มีืทางอื่น

หนทางนี้ คือ
สติปัฏฐาน ๔ ประการ

พิจารณาเห็น.....ใน.....อยู่
มีความเพียร
มีสัมปชัญญะ
มีสติ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

..... = 1. กาย 2. เวทนา 3. จิต 4. ธรรม


ทุกๆบทต้องมีเป้าหมายนี้
จบอุทเทสวารกถา



ถาม



ภิกษุพิจารณาเห็น.....ใน.....อยู่อย่างไรเล่า?
..... = กาย เวทนา จิต ธรรม


อธิบาย



ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

แบบที่ 1 เมื่อ ----- ก็รู้ชัดว่า เรา -----

----- = กรรม + ( คุณศัพท์ )

พบใน อานาปานบรรพ

อิริยาปถบรรพ

แบบที่ 2 ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัว ใน -----

พบใน สัมปชัญญบรรพ

แบบที่ 3 ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ

พบใน ปฏิกูลมนสิการบรรพ

ธาตุมนสิการบรรพ

แบบที่ 4 ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้่า

พบใน นวสีวถิกาบรรพ


ตัวอย่าง ที่ทรงแสดง



อานาปานบรรพ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน
เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาว
เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น

ปฏิกูลมนสิการบรรพ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไถ้มีปากสองข้าง
เต็มด้วยธัญชาติต่างชนิด คือ
ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ข้าวสาร
บุรุษผู้มีนัยน์ตาดีแก้ไถ้นั้นแล้ว พึงเห็นได้ว่า
นี้ข้าวสาลี นี้ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่วเหลือง นี้งา นี้ข้าวสาร ฉันใด

ธาตุมนสิการบรรพ

คนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ขยัน
ฆ่าโคแล้ว แบ่งออกเป็นส่วน
นั่งอยู่ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง ฉันใด
แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน



การพิจารณา



ทุกๆบรรพ จบด้วยข้อความข้างล่างนี้

ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น .....ใน..... ภายในบ้าง
พิจารณาเห็น .....ใน..... ภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็น .....ใน..... ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นใน ..... บ้าง
พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมใน ..... บ้าง
พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมใน ..... บ้าง
ย่อมอยู่

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ...... มีอยู่
ก็เพียงสักว่า ความรู้
เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น
เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็น ..... ใน ..... อยู่ ฯ

.... = กาย เวทนา จิต ธรรม


รายละเอียดในแต่ละบรรพ ที่แตกต่าง

กายานุปัสสนา



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า

1. อานาปานบรรพ

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
เธอมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก

เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว

เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก

2. อิริยาปถบรรพ

ภิกษุ

เมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน

เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่าเรายืน

เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่าเรานั่ง

เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน หรือ

เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ


3. สัมปชัญญบรรพ

ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัว

ในการก้าว ในการถอย

ในการแล ในการเหลียว

ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก

ในการทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร

ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม

ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ

ย่อมทำความรู้สึกตัว

ในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น

การพูด การนิ่ง

4. ปฏิกูลมนสิการบรรพ

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ
แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด
มีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้
ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
เนื้อเอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า
ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร

5. ธาตุมนสิการบรรพ

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ ซึ่งตั้งอยู่ตามที่ ตั้งอยู่ตามปรกติ
โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้

ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุไฟ ธาตุลม

6. นวสีวถิกาบรรพ

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

1.ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง...... มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด
2.อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง...... หมู่สัตว์ตัวเล็กๆต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง

3.เป็นร่างกระดูก ยังมี เนื้อ และ เลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
4.เป็นร่างกระดูก ปราศจาก เนื้อ แต่ยังเปื้อน เลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
5.เป็นร่างกระดูก ปราศจาก เนื้อ และเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่

6.เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว เรี่ยรายไป......
7.เป็นกระดูก มีสีขาว เปรียบด้วยสีสังข์
8.เป็นกระดูก กองเรียงรายอยู่แล้วเกินปีหนึ่งขึ้นไป
9.เป็นกระดูก ผุ เป็นจุณแล้ว

เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า

ถึงร่างกายอันนี้เล่า ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
คงเป็นอย่างนี้
ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ทุกข้อลงท้ายด้วย

ดังพรรณนามาฉะนี้ .......
อีกอย่างหนึ่ง .......
เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ



เวทนานุปัสสนา



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

1.เสวย สุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา หรือ
2.เสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา หรือ
3.เสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา หรือ

4.เสวย สุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนามีอามิส หรือ
5.เสวย สุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส หรือ

6.เสวย ทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส หรือ
7.เสวย ทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส หรือ

8.เสวย อทุกขมสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส หรือ
9.เสวย อทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส

ดังพรรณนามาฉะนี้ .......
อีกอย่างหนึ่ง .......
เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯ



จิตตานุปัสสนา



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

1.จิตมีราคะ ก็รู้ว่า จิตมีราคะ หรือ

2.จิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่า จิตปราศจากราคะ

3.จิตมีโทสะ ก็รู้ว่า จิตมีโทสะ หรือ

4.จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่า จิตปราศจากโทสะ

5.จิตมีโมหะ ก็รู้ว่า จิตมีโมหะ หรือ

6.จิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่า จิตปราศจากโมหะ

7.จิตหดหู่ ก็รู้ว่า จิตหดหู่

8.จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่า จิตฟุ้งซ่าน

9.จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่า จิตเป็นมหรคต หรือ

10.จิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่า จิตไม่เป็นมหรคต

11.จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่า จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือ

12.จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่า จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า

13.จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่า จิตเป็นสมาธิ หรือ

14.จิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่า จิตไม่เป็นสมาธิ

15.จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่า จิตหลุดพ้น หรือ

16.จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่า จิตไม่หลุดพ้น


ดังพรรณนามาฉะนี้ .......
อีกอย่างหนึ่ง .......
เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ



ธรรมานุปัสสนา



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ

1. นิวรณ์ ๕

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

เมื่อ ..... มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ..... มีอยู่ ณ ภายในจิต ของเรา หรือ

เมื่อ ..... ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ..... ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ของเรา

อนึ่ง

..... ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
.. ... ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
..... ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

..... = กามฉันท์ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ วิจิกิจฉา

ดังพรรณนามาฉะนี้ .......
อีกอย่างหนึ่ง .......
เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ ์ ๕ อยู่ ฯ

2. อุปาทานขันธ์ ๕

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อุปาทานขันธ์ ๕

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นดังนี้ว่า

อย่างนี้รูป อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป อย่างนี้ความดับแห่งรูป

อย่างนี้เวทนา อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา อย่างนี้ความดับแห่งเวทนา

อย่างนี้สัญญา อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา อย่างนี้ความดับแห่งสัญญา

อย่างนี้สังขาร อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร อย่างนี้ความดับแห่งสังขาร

อย่างนี้วิญญาณ อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ อย่างนี้ความดับแห่งวิญญาณ

ดังพรรณนามาฉะนี้ .......
อีกอย่างหนึ่ง .......
เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ ฯ

3. อายตนะภายในและภายนอก ๖

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคืออายตนะภายในและภายนอก ๖ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อม รู้จัก .....
รู้จัก ---- และ
รู้จัก ..... และ ---- ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์

( ..... = อายตนะภายใน นัยน์ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ )

( ---- = อายตนะภายนอก รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย ธรรมารมณ์)

อนึ่ง

สังโยชน์ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ดังพรรณนามาฉะนี้ .......
อีกอย่างหนึ่ง .......
เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อายตนะภายใน
และภายนอก ๖ อยู่ ฯ

4. โพชฌงค์ ๗

[๒๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ โพชฌงค์ ๗

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือโพชฌงค์ ๗ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

เมื่อ ..... สัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ..... สัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ

เมื่อ ..... สัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ..... สัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง
..... สัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

..... สัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

..... = สติ ธัมมวิจย วิริย ปิติ ปัสสัทธื สมาธิ อุเบกขา

ดังพรรณนามาฉะนี้ .......
อีกอย่างหนึ่ง .......
เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ โพชฌงค์ ๗ อยู่ ฯ


5. อริยสัจ ๔

[๒๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อริยสัจ ๔ อยู่

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อริยสัจ ๔ อยู่ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า

นี้ทุกข์

นี้ทุกขสมุทัย

นี้ทุกขนิโรธ

นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน

แม้ชาติก็เป็นทุกข์

แม้ชราก็เป็นทุกข์

แม้มรณะก็เป็นทุกข์

แม้ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็เป็นทุกข์

แม้ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์

แม้ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์

ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์

โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็..........เป็นไฉน

ชาติ
ชรา
มรณะ
โสกะ
ปริเทวะ
ทุกข์
โทมนัส
อุปายาส
ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก
ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก
ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้น
โดยย่อ อุปาทานขันธ์

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ ฯ

[๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจ เป็นไฉน

ตัณหานี้ใด

อันมีความเกิดอีก ประกอบ

ด้วยความกำหนัด

ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ คือ

กามตัณหา

ภวตัณหา

วิภวตัณหา ฯ

[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ก็ตัณหานี้นั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่ไหน

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่ไหน

ที่ใดเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น
เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้

อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ฯ

1. ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
>>>
2. รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
>>>
3. จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ
>>>
4. จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส
>>>
5. จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา
>>>
6. รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธัมมสัญญา
>>>
7. รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา ธัมมสัญเจตนา
>>>
8. รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา
>>>
9. รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธัมมวิตก
>>>
10. รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร
>>>

เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก
>>> = ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ในที่นี้ ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ ฯ


[๒๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน

ความสำรอก และ

ความดับโดยไม่เหลือ

ความสละ

ความส่งคืน

ความปล่อยวาง

ความไม่มีอาลัย

ในตัณหานั้น

ก็ตัณหานั้น

เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่ไหน

เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน

ที่ใดเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น

เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้

อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ฯ

1. ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
<<<
2. รูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
<<<
3. จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ
ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ
<<<
4. จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส
<<<
5. จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา
<<<
6. รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธัมมสัญญา
<<<
7. รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา ธัมมสัญเจตนา
<<<
8. รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา
<<<
9. รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธัมมวิตก
<<<
10. รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร
<<<


เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก
<<< = ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯ


[๒๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน

นี้คือมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ คือ

สัมมาทิฏฐิ

สัมมาสังกัปปะ

สัมมาวาจา

สัมมากัมมันตะ

สัมมาอาชีวะ

สัมมาวายามะ

สัมมาสติ

สัมมาสมาธิ

ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน

ความรู้ในทุกข์
ความรู้ในทุกขสมุทัย
ความรู้ในทุกขนิโรธ
ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ฯ

สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน

ความดำริในการออกจากกาม
ความดำริในความไม่พยาบาท
ความดำริในอันไม่เบียดเบียน

อันนี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ ฯ

สัมมาวาจา เป็นไฉน

การงดเว้นจากการพูดเท็จ
งดเว้นจากการพูดส่อเสียด
งดเว้นจากการพูดคำหยาบ
งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ

อันนี้เรียกว่าสัมมาวาจา ฯ

สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน

การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์
งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้
งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

อันนี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ ฯ

สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน

อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย
สำเร็จการเลี้ยงชีพ ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ

อันนี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ ฯ

สัมมาวายามะ เป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร
ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้

เพื่อมิให้ อกุศลธรรมอันลามก ที่ยังไม่เกิด บังเกิดขึ้น
เพื่อละ อกุศลธรรมอันลามก ที่บังเกิดขึ้นแล้ว
เพื่อให้ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
เพื่อความตั้งอยู่ ไม่เลือนหาย เจริญยิ่ง ไพบูลย์ มีขึ้นเต็มเปี่ยม
แห่งกุศลธรรม ที่บังเกิดขึ้นแล้ว

อันนี้เรียกว่า สัมมาวายามะ ฯ


สัมมาสติ เป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้

พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลกเสียได้

พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ
กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้

อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ

สัมมาสมาธิ เป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่

เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่

เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา
มีสติอยูเป็นสุข

เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้ มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่

อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามิมีปฏิปทาอริยสัจ ฯ

ดังพรรณนามาฉะนี้ .......
อีกอย่างหนึ่ง .......
เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ฯ


จบสัจจบรรพ


จบธัมมานุปัสสนา



[๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑

..... ปียกไว้
ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ---- ปี

>>>
...... = ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒
---- = ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑

๑ ปียกไว้
ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน

>>>
..... เดือนยกไว้
ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ---- เดือน

>>>
...... = ๗ ๖ ๕ ๔ ๓ ๒
---- = ๖ ๕ ๔ ๓ ๒ ๑

๑ เดือนยกไว้
ผู้ใดผู้หนึ่งเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด กึ่งเดือน

>>>

กึ่งเดือนยกไว้
ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐาน ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ วัน

>>>

>>> = เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑

ดูกรภิกษุทั้งหลาย

หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก

เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์

เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ

เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส

เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง

เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ

ฉะนี้แล คำที่เรากล่าว

ดังพรรณนามาฉะนี้

เราอาศัย เอกายนมรรค กล่าวแล้ว

พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว

ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แล ฯ


จบมหาสติปัฏฐานสูตร ที่ ๙












มหาสติปัฏฐานสูตร ไทย-อังกฤษ-ฝรั่งเศส


๙. มหาสติปัฏฐานสูตร (๒๒)



พระไตรปิฏก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
หน้าที่ ๒๕๗ - ๒๗๗.

Mahasatipatthana Sutta

Translated by U Jotika & U Dhamminda

Introduction

Please practise in accordance with this Mahasatipatthana Sutta so that you can see why it is acknowledged as the most important Sutta that the Buddha taught.
Try to practise all the different sections from time to time as they are all useful, but in the beginning start with something simple such as being mindful while walking (see Iriyapatha Pabba), or the mindfulness of in and out breathing (see Anapana Pabba). Then as you practise these you will be able to practise the other sections contained within this Sutta and you will find that all the four satipatthanas can be practised concurrently.
A sutta should be read again and again as you will tend to forget its message. The message here in this Sutta is that you should be mindful of whatever is occurring in the body and mind, whether it be good or bad, and thus you will become aware that all conditioned phenomena are impermanent, unsatisfactory and not-self.
The original Pali text of this Sutta can be found in Mahavagga of the Digha Nikaya.


Mahasatipatthana Sutta


GRAND DISCOURS SUR L'ETABLISSEMENT DE L'ATTENTION


Collection des longs discours (Diggha Nikâya) - n° 22.

Cette présente traduction est basée sur la traduction originale de
Vén. Dhammapâlita Bhikkhu (lors de son séjour au Centre Bouddhique International). Elle tient aussi compte du texte pâli et des traductions françaises des ouvrages de Vén. Walpola Rahula et de celle de Vén. Nyânaponika Thera.

Le 'MAHA SATIPATTHANA SUTTA' ou 'grand discours sur l'établissement de l'attention' a été à juste titre qualifié de 'coeur de la méditation bouddhique' par le vén. Nyânaponika. Son importance est essentielle pour la compréhension et la pratique du Dhamma, la 'Norme Universelle' enseignée par le Bouddha. 
Dans les pays bouddhistes théravada, il est récité à l'occasion des fêtes de pleine et de nouvelle lune (uposatha), et la plupart des moines ou des yogis sérieux pratiquant la méditation le mémorisent, afin d'avoir clairement à l'esprit leur sujet de méditation. Il va de soi que la pratique doit se faire en parallèle si l'on veut obtenir les fruits promis par le Bouddha: " La Connaissance Suprême ici et maintenant , en sept jours seulement !..."
Cette affirmation hardie n'est pas sans nous surprendre, lorsque tant de 'bouddhistes' autour de nous ont l'opinion que la perfection ne peut plus être réalisée de nos jours, et qu'il faut attendre la prochaine ère cosmique et la venue du prochain Bouddha pour parvenir à l'éveil !
Le but de cette publication est de donner pour la première fois en français le texte original pâli en intégral, retranscrit d'après un texte en caractères cinghalais, avec une traduction proposée tenant compte à la fois du texte pâli et des traductions françaises du ven. Walpola Rahula (Majjhima Nikâya; Les Deux Océans - Paris 1988) et celle du vén. Nyânaponika. 
En appendice se trouvent les instructions pratiques de méditation selon une méthode très répandue de nos jours en Birmanie (actuel Myanmar) et dans le reste du monde. Ne voulant pas allonger outre mesure cette présentation, nous invitons le lecteur à consulter l'ouvrage précité du vén. Nyânaponika: "SATIPATTHANA, le coeur de la méditation bouddhique " ( ed. Adrien Maisonneuve- Paris). Il est a souhaiter que les aspirants à l'éveil étudient avec soin ce texte et l'approfondissent sans cesse jusqu'à ce qu'ils atteignent la cessation de dukkhâ.
Nous remercions enfin le vénérable Parawahera Chandaratana, président-fondateur du Centre Bouddhique International, pour toutes les facilités qu'il a mis à notre disposition et pour le zèle infatigable dont il fait preuve dans l'établissement d'un centre théravada à Paris.
Le Bourget, novembre 1995. Dhammapâlita Bhikkhu

Preamble

[๒๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้-
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อว่ากัมมาสทัมมะ
ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า

Thus have I heard note1. The Bhagava note2 was at one time residing at the market-town called Kammasadhamma in the Kuru country note3. There the Bhagava addressed the bhikkhus note4 saying "O, Bhikkhus", and they replied to him, "Bhadante," note5 . Then the Bhagava said:

Ainsi ai-je entendu: en ce temps là, le Bienheureux demeurait parmi les Kurus, à Kammâsadamma, ville marché du peuple Kuru. Là, le Bienheureux s'adressa aux bhikkhus : " bhikkhus ! ". " Oui, Vénérable ! " répondirent les bhikkhus. Le Bienheureux parla ainsi:

ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
Bhikkhus, this is the one and the only way note6
Ceci est la seule voie, bhikkhus,

เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
for the purification (of the minds) of beings,
pour la purification des êtres,

เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ
for overcoming sorrow and lamentation,
pour transcender peines et chagrins,

เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
for the cessation note7 of physical and mental pain note8
pour éteindre souffrance et insatisfaction,

เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง
for attainment of the Noble Paths note9
pour avancer sur la voie juste,

เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
and for the realization of Nibbana note10.
pour réaliser le Nibbâna,

หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ
That (only way) is the four satipatthanas note11.
à savoir les quatre établissements de l'attention

.
๔ ประการ เป็นไฉน
What are these four? note12
Quels sont ces quatre ?

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้
Here (in this teaching), bhikkhus,
Voici O bhikkhus,

พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
a bhikkhu (i.e. a disciple) dwells perceiving again and again
the body (kaya) note13 as just the body
note14 (not mine, not I, not self, but just a phenomenon)
un bhikkhu demeure dans la contemplation du corps sur le corps,

มีความเพียร
with diligence, note15
ardent,

มีสัมปชัญญะ
clear understanding, note16
avec claire compréhension,

มีสติ
and mindfulness,
observant attentivement

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
thus keeping away covetousness and mental pain in the world;note17
et ayant écarté la convoitise et les soucis envers le monde.

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
he dwells perceiving again and again feelings (vedana) note18 as just feelings (not mine, not I, not self but just as phenomena)
Il demeure dans la contemplation des sensations sur les sensations,

มีความเพียร
with diligence, note15
ardent,

มีสัมปชัญญะ
clear understanding, note16
avec claire compréhension,

มีสติ
and mindfulness,
observant attentivement

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
thus keeping away covetousness and mental pain in the world;note17
et ayant écarté la convoitise et les soucis envers le monde.

พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่
he dwells perceiving again and again the mind (citta) note19 as just the mind
(not mine, not I, not self but just a phenomenon)
Il demeure dans la contemplation de l'esprit sur l'esprit,

มีความเพียร
with diligence, note15
ardent,

มีสัมปชัญญะ
clear understanding, note16
avec claire compréhension,

มีสติ
and mindfulness,
observant attentivement

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
thus keeping away covetousness and mental pain in the world;note17
et ayant écarté la convoitise et les soucis envers le monde.

พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
he dwells perceiving again and again dhammas note20 as just dhammas
(not mine, not I, not self but just as phenomena)
Il demeure dans la contemplation des objets mentaux
sur les objets mentaux,

มีความเพียร
with diligence, note15
ardent,

มีสัมปชัญญะ
clear understanding, note16
avec claire compréhension,

มีสติ
and mindfulness,
observant attentivement

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
thus keeping away covetousness and mental pain in the world;note17
et ayant écarté la convoitise et les soucis envers le monde.


จบอุทเทสวารกถา



I. Kayanupassana (Contemplation on the Body)

I. CONTEMPLATION DU CORPS (kâyâ).

i. Anapana Pabba (Section on In and Out Breathing)
1. Observation de la respiration.



[๒๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า
And how, bhikkhus, does a bhikkhu dwell perceiving again and again the body as just the body?
Et comment O bhikkhus, un bhikkhu demeure-t-il dans la contemplation du corps sur le corps ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี
นั่งคู้บัลลังก์ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
Here (in this teaching), bhikkhus, a bhikkhu having gone to the forest, or to the foot of a tree, or to an empty, solitary place;note21 sits down cross-legged,note22 keeping his body erect, and directs his mindfulness (towards the object of mindfulness).note23
Voici O bhikkhus: un bhikkhu s'étant rendu dans une forêt, au pied d'un arbre ou dans une pièce vide, s'assied jambes croisées, le corps bien dressé et l'attention établie en face.

เธอมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก
Then only with keen mindfulness he breathes in and only with keen mindfulness he breathes out.
Ainsi attentif, il inspire; attentif, il expire.

เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
Breathing in a long breath, he knows, "I breathe in a long breath";
breathing out a long breath, he knows, "I breathe out a long breath";
Ayant une inspiration longue il sait: " j'ai une inspiration longue ";
 ayant une expiration longue il sait: " j'ai une expiration longue "

เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
breathing in a short breath, he knows, "I breathe in a short breath";
breathing out a short breath, he knows, "I breathe out a short breath",
Ayant une inspiration courte il sait: " j'ai une inspiration courte ";
 ayant une expiration courte il sait: " j'ai une expiration courte ".

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก
"Aware of the whole breath body, I shall breathe in",note24
thus he trains himself;
"Aware of the whole breath body, I shall breathe out", thus he trains himself.
" J'inspire en ressentant tout le corps " ainsi s'entraîne-t-il;
 " j'expire en ressentant tout le corps " ainsi s'entraîne-t-il.

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
"Calming the process of breathing, I shall breathe in",note25
thus he trains himself;
"Calming the process of breathing, I shall breathe out",
thus he trains himself.note26
"J'inspire en calmant les activités corporelles " ainsi s'entraîne-t-il;
"J'expire en calmant les activités corporelles " ainsi s'entraîne-t-il.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน
เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาว
เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น

Just as, bhikkhus, a skilful turner or a turner's apprentice pulling a long pull
(on the string turning the lathe), knows, "I am pulling a long pull";
pulling a short pull, knows, "I am pulling a short pull",

De même, O bhikkhus, qu'un habile tourneur ou apprenti tourneur
tournant lentement sait: " je tourne lentement ";
tournant rapidement il sait: " je tourne rapidement."

แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน
just so, bhikkhus, a bhikkhu
Ainsi, O bhikkhus, un bhikkhu

เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว
breathing in a long breath, he knows, "I breathe in a long breath";
breathing out a long breath, he knows, "I breathe out a long breath";
inspirant lentement sait: " j'inspire lentement ";

expirant lentement il sait: " j'expire lentement ".

เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น
breathing in a short breath, he knows, "I breathe in a short breath";
breathing out a short breath, he knows, "I breathe out a short breath"
Inspirant rapidement il sait: " j'inspire rapidement ";
 expirant rapidement il sait: " j'expire rapidement ".

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก
"Aware of the whole breath body, I shall breathe in",note24 thus he trains himself;
"Aware of the whole breath body, I shall breathe out", thus he trains himself.
" J'inspire en ressentant tout le corps " ainsi s'entraîne-t-il;

" j'expire en ressentant tout le corps " ainsi s'entraîne-t-il.

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก
"Calming the process of breathing, I shall breathe in",note25
thus he trains himself;
"Calming the process of breathing, I shall breathe out",
thus he trains himself.note26 "
J'inspire en calmant les activités corporelles " ainsi s'entraîne-t-il;
"J'expire en calmant les activités corporelles " ainsi s'entraîne-t-il.


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

จบอานาปานบรรพ



ii. Iriyapatha Pabba (Section on Postures)
2. Les postures du corps.


[๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุ
And again, bhikkus, a bhikkhu
Puis ensuite, O bhikkhus, un bhikkhu

เมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน
while walking note33 knows "I am walking";note34
lorsqu'il marche, sait: " je marche ",

เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่าเรายืน
while standing, he knows, "I am standing";
lorsqu'il est debout, il sait: " je suis debout ",

เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่าเรานั่ง
while sitting, he knows, "I am sitting";
lorsqu'il est assis, il sait: " je suis assis ",

เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน หรือ
while lying down he knows, "I am lying down."note35
lorsqu'il est allongé, il sait: " je suis allongé "; et

เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ
To summarize, a bhikkhu should know whatever way
his body is moving or placed.note36
quelle que soit la position du corps, il la connaît telle qu'elle est.


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

จบอิริยาปถบรรพ



iii. Sampajanna Pabba (Section on Clear Understanding)
3. La claire compréhension.



[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus, a bhikkhu
Puis ensuite, O bhikkhus, un bhikkhu

ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัว

ในการก้าว ในการถอย
while going forward or while going back does so
with clear understanding;note39
va et vient avec claire compréhension,

ในการแล ในการเหลียว
while looking straight ahead or while looking elsewhere he does so
with clear understanding;
il regarde droit devant ou tout autour avec claire compréhension,

ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก
while bending or stretching his limbs he does so
with clear understanding;
il fléchit ou étend ses membres avec claire compréhension,

ในการทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร
while carrying the alms bowl and while wearing the robes he does so
with clear understanding;
il porte ses robes et son bol a aumônes avec claire compréhension,


ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม
while eating, drinking, chewing, and savouring he does so
with clear understanding;
il mange, boit, mastique et savoure avec claire compréhension,

ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ
while urinating or defecating he does so
with clear understanding;
il évacue et urine avec claire compréhension,

ย่อมทำความรู้สึกตัว

ในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น
while walking, standing, sitting, falling asleep, waking,
marchant, debout, assis, s'endormant, s'éveillant,

การพูด การนิ่ง
speaking or when remaining silent,
parlant, se taisant,

he does so with clear understanding.
il le fait avec claire compréhension.


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

จบสัมปชัญญบรรพ



iv. Patikulamanasika Pabba
(Section on Contemplation of Impurities)
4. Réflexion sur la répulsion du corps.



[๒๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus, a bhikkhu
Puis ensuite, O bhikkhus, un bhikkhu

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ
And again, bhikkhus, a bhikkhu examines and reflects closely
upon this very body,
considère ce corps

แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ
from the soles of the feet up and from the tips of the head hair down, enclosed by the skin
de la plante des pieds jusqu'au sommet de la tête, recouvert de peau

เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้
and full of various kinds of impurities,note40 (thinking thus)
"There exists in this body:
et rempli de diverses choses répugnantes: " il y a dans ce corps:

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
hair of the head, hair of the body, nails, teeth, skin,
cheveux, poils, ongles, dents, peau,

เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
flesh, sinews, bones, marrow,
chair, tendons, os, moelle,

ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ
kidneys, heart, liver, membranes (including the pleura, the
diaphragm and other forms of membrane in the body),
spleen, lungs, intestines, mysentery,
reins, coeur, foi, plèvre, rate, poumons, intestin, mésentère,

อาหารใหม่ อาหารเก่า
gorge, faeces,
estomac, excréments,

ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ
brain, bile, phlegm, pus, blood, sweat,
bile, flegme, pus, sang, sueur,

มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
solid fat, tears, liquid fat, saliva, mucus,
synovic fluid (i.e. lubricating oil of the joints) and urine."
graisse, larmes, suint, salive, mucosités, synovie,
urine et cerveau ".

ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไถ้มีปากสองข้าง เต็มด้วยธัญชาติต่างชนิด คือ
Just as if, bhikkhus, there were a double-mouthed provision bag
filled with various kinds of grain such as:
De même que, O bhikkhus, s'il y avait un sac à deux ouvertures rempli de graines diverses telles que :

ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ข้าวสาร
hill-paddy, paddy, green-gram, cow pea, sesamum, and husked rice;
riz, riz brut, pois chiches, haricots, riz perlé,

บุรุษผู้มีนัยน์ตาดีแก้ไถ้นั้นแล้ว พึงเห็นได้ว่า
and a man with sound eyes, having opened it, should examine it thus:
alors un homme ayant de bons yeux l'examinerait ainsi:

นี้ข้าวสาลี นี้ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่วเหลือง นี้งา นี้ข้าวสาร ฉันใด
"This is hill-paddy, this is paddy, this is green-gram,
this is cow pea, this is sesamum, and this is husked rice."
" ceci est du riz, ceci du riz brut, ceci des pois chiches,
ceci des haricots, ceci du riz perlé ".

ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ
Just so, bhikkhus, a bhikkhu examines and reflects closely upon this very body,
Ainsi, O bhikkhus, un bhikkhu considère ce corps

แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ
from the soles of the feet up and from the tips of the head hair down, enclosed by the skin
de la plante des pieds jusqu'au sommet de la tête, recouvert de peau

เต็มด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้
and full of various kinds of impurities, (thinking thus)
"There exists in this body:
et rempli de diverses choses répugnantes: " il y a dans ce corps:

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง
hair of the head, hair of the body, nails, teeth, skin,
cheveux, poils, ongles, dents, peau,

เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก
flesh, sinews, bones, marrow,
chair, tendons, os, moelle,

ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ
kidneys, heart, liver, membranes (including the pleura, the
diaphragm and other forms of membrane in the body),
spleen, lungs, intestines, mysentery,
reins, coeur, foi, plèvre, rate, poumons, intestin, mésentère,

อาหารใหม่ อาหารเก่า
gorge, faeces,
estomac, excréments,

ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ
brain, bile, phlegm, pus, blood, sweat,
bile, flegme, pus, sang, sueur,

มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร
solid fat, tears, liquid fat, saliva, mucus,
synovic fluid (i.e. lubricating oil of the joints) and urine."
graisse, larmes, suint, salive, mucosités, synovie,
urine et cerveau ".


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

จบปฏิกูลมนสิการบรรพ



v. Dhatumanasika Pabba
(Section on Contemplation on Elements)
5. Réflexion sur les états de la matière.


[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus, a bhikkhu
Puis ensuite, O bhikkhus, un bhikkhu

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ
examines and reflects closely upon this very body
réfléchit sur ce corps même,

ซึ่งตั้งอยู่ตามที่ ตั้งอยู่ตามปรกติ โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้
however it be placed or disposed as composed of (only)
primary elements note41 thus:
selon sa place et selon sa position par rapport aux éléments primaires:
" il y a dans ce corps

ธาตุดิน
the earth element,
l'élément terre,

ธาตุน้ำ
the water element,
l'élément eau,

ธาตุไฟ
the fire element,
l'élément feu,

ธาตุลม
and the air element."note42
l'élément air ".


คนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ขยัน ฆ่าโคแล้ว
แบ่งออกเป็นส่วน นั่งอยู่ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง ฉันใด
Just as if, bhikkhus, a skillful butcher or his apprentice, having slaughtered a cow
and divided it into portions were sitting at the junction of four high roads,note43
De même ,O bhikkhus, qu'un habile boucher ou un apprenti boucher,
ayant tué une vache et l'ayant découpée en morceaux va s'asseoir
au carrefour de quatre grandes routes,

ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ
ซึ่งตั้งอยู่ตามที่ ตั้งอยู่ตามปรกติ โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้
just so, a bhikkhu examines and reflects closely upon this body
however it be placed or disposed as composed of (only) the primary elements
thus: "There exists in this body
de même un bhikkhu réfléchit sur ce corps même,
selon sa place et selon sa position par rapport aux éléments primaires:
 " il y a dans ce corps

ธาตุดิน
the earth element,
l'élément terre,

ธาตุน้ำ
the water element,
l'élément eau,

ธาตุไฟ
the fire element,
l'élément feu,

ธาตุลม
and the air element."note42
l'élément air ".


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

จบธาตุมนสิการบรรพ



vi. Navasivathika Pabba
(Section on Nine Stages of Corpses)
6. Les neuf contemplations du cimetière.



Part 1
6.1.

[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus,
Puis ensuite, O bhikkhus,

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ
if a bhikkhu should see a body,
quand un bhikkhu voit un cadavre

ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
discarded in the charnel ground,
jeté sur un charnier,

ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง
one day dead, or two days dead, or three days dead,
mort depuis un jour, deux jours, trois jours,
ที่ขึ้นพอง มีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด
swollen, blue and festering,
gonflé, bleui, putréfié

เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่าถึงร่างกายอันนี้เล่า
he then compares it to his own body thus:
réfléchit à son propre corps:

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
"Truly this body is of the same nature,
'ce corps a la même nature,

คงเป็นอย่างนี้
it will become like that
il deviendra le même

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
and cannot escape from it."note44
et ne sera pas épargné'


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

Part 2

6.2.

[๒๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus,
Et de plus, O bhikkhus,

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ
if a bhikkhu should see a body,
quand un bhikkhu voit un cadavre

ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
discarded in the charnel ground,
jeté sur un charnier,

อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง
หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง
หมู่สัตว์ตัวเล็กๆต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง
being devoured by crows, being devoured by hawks, being devoured by vultures,
being devoured by herons, being devoured by dogs, being devoured by tigers,
being devoured by leopards, being devoured by jackals,
or being devoured by various kinds of worms,

déchiqueté par les corbeaux, les faucons, les vautours, déchiré par les chiens et les chacals,
rongé par toutes sortes de vers,

เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่าถึงร่างกายอันนี้เล่า
he then compares it to his own body thus:
réfléchit à son propre corps:

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
"Truly this body is of the same nature,
'ce corps a la même nature,

คงเป็นอย่างนี้
it will become like that
il deviendra le même

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
and cannot escape from it."note44
et ne sera pas épargné'


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

Part 3
6.3.

[๒๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus,
Et de plus, O bhikkhus,

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ
if a bhikkhu should see a body,
quand un bhikkhu voit un cadavre

ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
discarded in the charnel ground,
jeté sur un charnier,

เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
that is just a skeleton held together by the tendons,
with some flesh and blood still adhering to it,
réduit à un squelette maintenu par des tendons,
avec des lambeaux de chair et des tâches de sang,

เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่าถึงร่างกายอันนี้เล่า
he then compares it to his own body thus:
réfléchit à son propre corps:

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
"Truly this body is of the same nature,
'ce corps a la même nature,

คงเป็นอย่างนี้
it will become like that
il deviendra le même

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
and cannot escape from it."note44
et ne sera pas épargné'


เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่าถึงร่างกายอันนี้เล่า
he then compares it to his own body thus:
réfléchit à son propre corps:

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
"Truly this body is of the same nature,
'ce corps a la même nature,

คงเป็นอย่างนี้
it will become like that
il deviendra le même

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
and cannot escape from it."note44
et ne sera pas épargné'


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

Part 4
6.4.

[๒๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus,
Et de plus, O bhikkhus,

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ
if a bhikkhu should see a body,
quand un bhikkhu voit un cadavre

ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
discarded in the charnel ground,
jeté sur un charnier,

เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อ แต่ยังเปื้อนเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
that is just a skeleton held together by the tendons,
blood-besmeared, fleshless, réduit à un squelette maintenu par des tendons,
taché de sang, dépourvu de chair,

เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่าถึงร่างกายอันนี้เล่า
he then compares it to his own body thus:
réfléchit à son propre corps:

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
"Truly this body is of the same nature,
'ce corps a la même nature,

คงเป็นอย่างนี้
it will become like that
il deviendra le même

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
and cannot escape from it."note44
et ne sera pas épargné'


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

Part 5
6.5.

[๒๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus,
Et de plus, O bhikkhus,

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ
if a bhikkhu should see a body,
quand un bhikkhu voit un cadavre

ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
discarded in the charnel ground,
jeté sur un charnier,

เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่
that is just a skeleton held together by the tendons
without flesh and blood,
réduit à un squelette maintenu par des tendons, sans chair ni sang,

เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่าถึงร่างกายอันนี้เล่า
he then compares it to his own body thus:
réfléchit à son propre corps:

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
"Truly this body is of the same nature,
'ce corps a la même nature,

คงเป็นอย่างนี้
it will become like that
il deviendra le même

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
and cannot escape from it."note44
et ne sera pas épargné'


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

Part 6
6.6.

[๒๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus,
Et de plus, O bhikkhus,

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ
if a bhikkhu should see a body,
quand un bhikkhu voit un cadavre

ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
discarded in the charnel ground,
jeté sur un charnier,

คือ เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว
เรี่ยรายไปในทิศใหญ่ทิศน้อย คือ

กระดูกมือไปทางหนึ่ง กระดูกเท้าไปทางหนึ่ง กระดูกแข้งไปทางหนึ่ง
กระดูกขาไปทางหนึ่ง กระดูกสะเอวไปทางหนึ่ง กระดูกหลังไปทางหนึ่ง
กระดูกสันหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสีข้างไปทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกไปทางหนึ่ง
กระดูกไหล่ไปทางหนึ่ง กระดูกแขนไปทางหนึ่ง กระดูกคอไปทางหนึ่ง
กระดูกคางไปทางหนึ่ง กระดูกฟันไปทางหนึ่ง กระโหลกศีรษะไปทางหนึ่ง
that is just loose bones scattered in all directions; at one place bones of a hand,
at another place bones of a foot, at another place ankle-bones, at another place shin-bones,
at another place thigh-bones, at another place hip-bones, at another place rib-bones,
at another place spinal-bones, at another place shoulder-bones, at another place neck-bones,
at another place the jawbone, at another place the teeth,and at another place the skull, réduit à des os éparpillés dans toutes les directions: ici des os de la main,...
là des os du pied,... des os du menton,... les fémurs,... le bassin,.. la colonne vertébrale et le crâne,

เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่าถึงร่างกายอันนี้เล่า
he then compares it to his own body thus:
réfléchit à son propre corps:

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
"Truly this body is of the same nature,
'ce corps a la même nature,

คงเป็นอย่างนี้
it will become like that
il deviendra le même

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
and cannot escape from it."note44
et ne sera pas épargné'


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

Part 7
6.7.

[๒๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus,
Et de plus, O bhikkhus,

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ
if a bhikkhu should see a body,
quand un bhikkhu voit un cadavre

ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
discarded in the charnel ground,
jeté sur un charnier,

คือ เป็นกระดูกมีสีขาว เปรียบด้วยสีสังข์
that is just white bones of conch-like colour,
les ossements blanchis comme des coquillages,

เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่าถึงร่างกายอันนี้เล่า
he then compares it to his own body thus:
réfléchit à son propre corps:

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
"Truly this body is of the same nature,
'ce corps a la même nature,

คงเป็นอย่างนี้
it will become like that
il deviendra le même

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
and cannot escape from it."note44
et ne sera pas épargné'


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

Part 8
6.8.

[๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkhus,
Et de plus, O bhikkhus,

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ
if a bhikkhu should see a body,
quand un bhikkhu voit un cadavre

ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
discarded in the charnel ground,
jeté sur un charnier,

คือ เป็นกระดูกกองเรียงรายอยู่แล้วเกินปีหนึ่งขึ้นไป
that is bones more than a year old, lying in a heap,
réduit à des os vieux de plus d'un an,

เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่าถึงร่างกายอันนี้เล่า
he then compares it to his own body thus:
réfléchit à son propre corps:

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
"Truly this body is of the same nature,
'ce corps a la même nature,

คงเป็นอย่างนี้
it will become like that
il deviendra le même

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
and cannot escape from it."note44
et ne sera pas épargné'



ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

Part 9
6.9.

[๒๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkus,
Puis ensuite, O bhikkhus,

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็นสรีระ
if a bhikkhu should see a body,
quand un bhikkhu voit un cadavre

ที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า
discarded in the charnel ground,
jeté sur un charnier,

คือ เป็นกระดูกผุ เป็นจุณแล้ว
that is just rotted bones,
réduit à des os pourris, tombant en poussière,

เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่าถึงร่างกายอันนี้เล่า
he then compares it to his own body thus:
réfléchit à son propre corps:

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา
"Truly this body is of the same nature,
'ce corps a la même nature,

คงเป็นอย่างนี้
it will become like that
il deviendra le même

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้
and cannot escape from it."note44
et ne sera pas épargné'


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the body note27 as just the body
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps intérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in others;note28 or
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps extérieurement.

พิจารณาเห็นกายในกายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the body
as just the body in both himself and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant le corps sur le corps
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the body;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในกายบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the body;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans le corps,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the body with their causes.note30
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans le corps.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the body exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà un corps " est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views note31
he dwells without clinging to anything in the world.note32
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the body as just the body.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant le corps sur le corps

จบนวสีวถิกาบรรพ


จบกายานุปัสสนา




II. Vedananupassana
(Contemplation on Feelings)
II. CONTEMPLATION DES SENSATIONS (vedanâ).



[๒๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่อย่างไรเล่า
And how, bhikkhus, does a bhikkhu dwell perceiving again and again
that feelings (vedana)note45 are just feelings (not mine, not I, not self but just as phenomena)?
Et comment O bhikkhus, un bhikkhu demeure-t-il dans la contemplation des sensations sur les sensations ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
Here (in this teaching), bhikkhus,
Voici, O bhikkhus, un bhikkhu

เสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา หรือ
while experiencing a pleasant feeling,note46
a bhikkhu knows, "I am experiencing a pleasant feeling"; or
ressentant une sensation agréable sait:
'je ressens une sensation agréable'.

เสวยทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา หรือ
while experiencing an unpleasant feeling,note47
he knows, "I am experiencing an unpleasant feeling"; or
Ressentant une sensation désagréable,
il sait: 'je ressens une sensation désagréable'.

เสวยอทุกขมสุขเวทนาก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา หรือ
while experiencing a feeling that is neither pleasant nor unpleasant,note48
he knows,"I am experiencing a feeling that is neither pleasant nor unpleasant.''
Ressentant une sensation ni agréable, ni désagréable,
il sait: 'je ressens une sensation ni agréable, ni désagréable'.


เสวยสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนามีอามิส หรือ
While experiencing a pleasant feeling associated with sense pleasures,note49
he knows, "I am experiencing a pleasant feeling associated with sense pleasures"; or
Ressentant une sensation charnelle agréable,
il sait:'je ressens une sensation charnelle agréable'.

เสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส หรือ
while experiencing a pleasant feeling not associated with sense pleasures,note50
he knows, "I am experiencing a pleasant feeling not associated with sense pleasures.''
Ressentant une sensation spirituelle agréable,
il sait: 'je ressens une sensation spirituelle agréable'.


เสวยทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส หรือ
While experiencing an unpleasant feeling associated with sense pleasures,note51
he knows, "I am experiencing an unpleasant feeling associated with sense pleasures"; or
Ressentant une sensation charnelle désagréable,
il sait: 'je ressens une sensation charnelle désagréable'.

เสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส หรือ
while experiencing an unpleasant feeling not associated with sense pleasures,note52
he knows, ''I am experiencing an unpleasant feeling not associated with sense pleasures.
''Ressentant une sensation spirituelle désagréable,
il sait:' je ressens une sensation spirituelle désagréable'.


เสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส หรือ
While experiencing a feeling, that is neither pleasant nor unpleasant that is as sociated with sense pleasures,note53
he knows, "I am experiencing a feeling that is neither pleasant nor unpleasant
that is associated with sense pleasures"; or
Ressentant une sensation charnelle ni agréable, ni désagréable,
il sait: 'je ressens une sensation charnelle ni agréable, ni désagréable'.

เสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส
while experiencing a feeling that is neither pleasant nor unpleasant that is not associated with sense pleasures,
he knows, "I am experiencing a feeling that is neither pleasant nor unpleasant that is not associated with sense pleasures.''
Ressentant une sensation spirituelle ni agréable, ni désagréable,
il sait: 'je ressens une sensation spirituelle ni agréable, ni désagréable'.


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again feelings as just feelings
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself; or
Ainsi il demeure contemplant les sensations sur les sensations
intérieurement.

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาภายนอกบ้าง
he dwells perceiving again and again feelings as just feelingsin in others; or
Ainsi il demeure contemplant les sensations sur les sensations
extérieurement.

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
he dwells perceiving again and again feelings as just feelings in both himself
and in others.note29
Ainsi il demeure contemplant les sensations sur les sensations
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of feelings;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans les sensations,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในเวทนาบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of feelings;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans les sensations,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในเวทนาบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of feelings with their causes.note54
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans les sensations,

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only feelings exist
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà des sensations" est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views
he dwells without clinging to anything in the world.
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again the feelings as just feelings.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant les sensations
sur les sensations.

จบเวทนานุปัสสนา




III. Cittanupassana
(Contemplation on the Mind)
III. CONTEMPLATION DE L'ESPRIT (cittâ).



[๒๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า
And how, bhikkhus, does a bhikkhu dwell perceiving again and again the mind (citta) as just the mind (not mine, not I, not self but just a phenomenon)?
Et comment O bhikkhus, un bhikkhu demeure-t-il dans la contemplation de l'esprit sur l'esprit?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
Here (in this teaching), bhikkhus,
Voici, O bhikkhus,

จิตมีราคะ ก็รู้ว่าจิตมีราคะ หรือ
when a mind with greed (raga) note55 arises,
a bhikkhu knows,"This is a mind with greed"; or
un bhikkhu ayant un esprit passionné
sait: " ceci est un esprit passioné ".

จิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากราคะ
when a mind without greed note56 arises,
he knows, "This is a mind without greed";
Ayant un esprit libre de passion,
il sait: " ceci est un esprit libre de passion ".


จิตมีโทสะ ก็รู้ว่าจิตมีโทสะ หรือ
when a mind with anger (dosa) note57" arises,
he knows, "This is a mind with anger"; or
Ayant un esprit haineux
il sait: " ceci est un esprit haineux".

จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโทสะ
when a mind without anger note58 arises,
he knows, "This is a mind without anger";
Ayant un esprit libre de haine,
il sait: " ceci est un esprit libre de haine ".


จิตมีโมหะ ก็รู้ว่าจิตมีโมหะ หรือ
when a mind with delusion (moha) note59 arises,
he knows, "This is a mind with delusion"; or
Ayant un esprit dans l'illusion:
il sait: " ceci est un esprit dans l'illusion".

จิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่าจิตปราศจากโมหะ
when a mind without delusion note60 arises,
he knows, "This is a mind without delusion"; or
Ayant un esprit sans illusion,
il sait: " ceci est un esprit sans illusion ".


จิตหดหู่ ก็รู้ว่าจิตหดหู่
when a lazy, slothful mind (samkhittacitta) note61 arises,
he knows, "This is a lazy, slothful mind"; or
Ayant un esprit rassemblé
il sait: " ceci est un esprit rassemblé".


จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่าจิตฟุ้งซ่าน
when a distracted mind (vikkhittacitta) note62 arises,
he knows, "This is a distracted mind"; or
Ayant un esprit éparpillé
il sait: " ceci est un esprit éparpillé".


จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตเป็นมหรคต หรือ
when a developed mind (mahagattacitta) note63 arises,
he knows, "This is a developed mind"; or
Ayant un esprit large,il sait: " ceci est un esprit large ".

จิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นมหรคต
when an undeveloped mind (amahagattacitta) note64 arises,
he knows, "This is an undeveloped mind"; or
Ayant un esprit recroquevillé
il sait: " ceci est un esprit recroquevillé".


จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือ
when an inferior mind (sauttaracitta) note65 arises,
he knows, "This is an inferior mind"; or
Ayant un esprit surpassable ,
il sait: " ceci est un esprit surpassable ".

จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่าจิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า
when a superior mind (anuttaracitta) note66 arises,
he knows, "This is a superior mind"; or
Ayant un esprit insurpassable
il sait: " ceci est un esprit insurpassable".


จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตเป็นสมาธิ หรือ
when a concentrated mind (samahitacitta) note67arises,
he knows, "This is a concentrated mind"; or
Ayant un esprit concentré,
il sait: " ceci est un esprit concentré".

จิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่าจิตไม่เป็นสมาธิ
when an unconcentrated mind (asamahitacitta) note68 arises,
he knows, "This is an unconcentrated mind''; or
Ayant un esprit non concentré,
il sait: " ceci est un esprit non concentré".


จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตหลุดพ้น หรือ
when a mind temporarily free from defilements (vimutticitta) note69 arises,
he knows, "This is a mind temporarily free from defilements"; or
Ayant un esprit libéré,
il sait: " ceci est un esprit libéré".

จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่าจิตไม่หลุดพ้น
when a mind not free from defilements (avimutticitta) arises,
he knows, "This is a mind not free from defilements".
Ayant un esprit non libéré
il sait: " ceci est un esprit non libéré".


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นเห็นจิตในจิตภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again the mind as just the mind
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant l'esprit sur l'esprit intérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นจิตในจิตภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the mind as just the mind
in others;
Ainsi il demeure contemplant l'esprit sur l'esprit extérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นจิตในจิตทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again the mind as just the mind
in both himself and in others
Ainsi il demeure contemplant l'esprit sur l'esprit
intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of the mind;
Il demeure contemplant l'apparition des phénomènes dans l'esprit,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในจิตบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of the mind;
Il demeure contemplant la disparition des phénomènes dans l'esprit,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing
and dissolution of the mind;with their causes. note70
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition
des phénomènes dans l'esprit,

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the mind exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà l'esprit" est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views
he dwells without clinging to anything in the world.
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again the mind as just the mind;
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant l'esprit,sur l'esprit,

จบจิตตานุปัสสนา




IV. Dhammanupassana
(Contemplation on Dhammas)
IV. CONTEMPLATION DES PHENOMENES (dhammâ).

i. Nivarana Pabba (Section on Hindrances)

A) Les cinq obstacles.



[๒๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ อย่างไรเล่า
And how, bhikkhus, does a bhikkhu dwell perceiving again and again
dhammas as just dhammas (not mine, not I, not self, but just as phenomena)?
Et comment O bhikkhus, un bhikkhu demeure-t-il dans la contemplation
des objets mentaux sur les objets mentaux ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือนิวรณ์ ๕
Here (in this teaching), bhikkhus, a bhikkhu dwells perceiving again and again
the five hindrances (nivarana dhamma) as just the five hindrances note71
(not mine, not I, not self, but just as phenomena).
Voici, O bhikkhus, un bhikkhu demeure dans la contemplation des objets
mentaux sur les objets mentaux des cinq obstacles.

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือนิวรณ์ ๕ อย่างไรเล่า
And how, bhikkhus, does a bhikkhu dwell perceiving again and again
the five hindrances as just the five hindrances?
Et comment, O bhikkhus, un bhikkhu demeure-t-il dans la contemplation
des objets mentaux sur les objets mentaux des cinq obstacles?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
Here (in this teaching), bhikkhus,
Voici, O bhikkhus:

เมื่อกามฉันท์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
while sense-desire (kamachanda) is present in him,
a bhikkhu knows, "There is sense-desire present in me"; or
un bhikkhu,lorsque le désir sensuel est en lui
sait: " le désir sensuel est en moi."

เมื่อกามฉันท์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while sense-desire is not present in him,
he knows, "There is no sense-desire present in me".
Lorsque le désir sensuel n'est pas en lui,
il sait: " le désir sensuel n'est pas en moi. "

อนึ่ง

กามฉันท์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the sense-desire which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition du désir sensuel non apparu;

กามฉันท์ที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
he knows how the sense-desire that has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet du désir sensuel apparu;

กามฉันท์ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the discarded sense-desire will not arise in the future.note72
et il sait comment se produit la non apparition dans l'avenir du désir sensuel rejeté.

อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อพยาบาทมีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทมีอยู่ ณภายในจิตของเรา หรือ
While ill-will (byapada) is present in him
he knows, "There is ill-will present in me"; or
Lorsque la malveillance (mauvaise volonté) est en lui,
il sait: " la malveillance est en moi. "

เมื่อพยาบาทไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาทไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while ill-will is not present in him,
he knows, "There is no ill-will present in me.
"Lorsque la malveillance n'est pas en lui,
il sait: " la malveillance n'est pas en moi. "

อนึ่ง

พยาบาทที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใดย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the ill-will which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition de la malveillance non apparue;

พยาบาทที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
he knows how the ill-will which has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet de la malveillance apparue;

พยาบาทที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the discarded ill-will will not arise in the future.note73
et il sait comment se produit la non apparition dans l'avenir de la malveillance rejetée.

อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อถีนมิทธะมีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่าถีนมิทธะมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
While sloth and torpor are present in him,
he knows, "There are sloth and torpor present in me"; or
Lorsque la rigidité ou la torpeur sont en lui
sait: "la rigidité ou la torpeur sont en moi. "


เมื่อถีนมิทธะไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ถีนมิทธะไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while sloth and torpor are not present in him,
he knows "There is no sloth and torpor present in me.
Lorsque la rigidité ou la torpeur ne sont pas en lui,
il sait: " la rigidité ou la torpeur ne sont pas en moi. "

อนึ่ง

ถีนมิทธะที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
" He also knows how the sloth and torpor which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition de la rigidité ou de la torpeur non apparu;

ถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
he knows how the sloth and torpor that has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet de la rigidité ou de la torpeur apparu;

ถีนมิทธะที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the discarded sloth and torpor will not arise in the future.note74
et il sait comment se produit la non apparition dans l'avenir de la rigidité ou de la torpeur rejetée.

อีกอย่างหนึ่ง

เมื่ออุทธัจจกุกกุจจะมีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะมีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
While distraction and worry (uddhacca-kukkucca) are present in him,
he knows, "There are distraction and worry present in me"; or
Lorsque l'agitation et le remords sont en lui
sait: " l'agitation et le remords sont en moi. "

เมื่ออุทธัจจกุกกุจจะไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while distraction and worry are not present in him,
he knows, "There are no distraction and worry present in me.
"Lorsque l'agitation et le remords ne sont pas en lui,
il sait: "l'agitation et le remords ne sont pas en moi. "

อนึ่ง

อุทธัจจกุกกุจจะที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He knows how the distraction and worry which has not yet arisen comes to arise,
Il sait comment se produit l'apparition de l'agitation et du remords non apparu;

อุทธัจจกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
he knows how the distraction and worry that has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet de l'agitation et du remords apparu

อุทธัจจกุกกุจจะที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
he knows how the discarded distraction and worry will not arise in the future.note75
et il sait comment se produit la non apparition dans l'avenir de l'agitation et du remords rejeté.

อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อวิจิกิจฉามีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉามีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
While doubt or wavering of the mind (vicikiccha) is present in him,
he knows, "There is doubt or wavering of the mind present in me"; or
Lorsque le doute est en lui sait: " le doute est en moi. "

เมื่อวิจิกิจฉาไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉาไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while doubt or wavering of the mind is not present in him,
he knows, "There is no doubt or wavering of mind present in me."
Lorsque le doute n'est pas en lui, il sait: le doute n'est pas en moi. "

อนึ่ง

วิจิกิจฉาที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the doubt or wavering of mind which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition du doute non apparu;

วิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
he knows how the doubt or wavering of mind that has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet du doute apparu;

วิจิกิจฉาที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the discarded doubt or wavering of mind will not arise in the future.note76
et il sait comment se produit la non apparition dans l'avenir du doute rejeté.


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux intérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas in others;
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux extérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas in both himself and in others
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of dhammas;
Il demeure contemplant l'apparition des objets mentaux,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในธรรมบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of dhammas;
Il demeure contemplant la disparition des objets mentaux,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing and dissolution of dhammas;with their causes. note77
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition des objets mentaux.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the dhammas exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà des objets mentaux" est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views
he dwells without clinging to anything in the world.
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕ อยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again the five hindrances as just the five hindrances.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux des cinq obstacles.

จบนีวรณบรรพ




ii. Khanda Pabba (Section on Aggregates)
B) les cinq agrégats d'attachement.



[๒๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkhus,
Puis encore, O bhikkhus,

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคืออุปาทานขันธ์ ๕
a bhikkhu dwells perceiving again and again the five aggregates of clinging (upadanakkhandha) note78
as just the five aggregates of clinging (not mine, not I, not self but just as phenomena)
un bhikkhu demeure dans la contemplation des objets mentaux sur les objets mentaux des cinq agrégats d'attachement.

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคืออุปาทานขันธ์ ๕ อย่างไรเล่า
And how, bhikkhus, does a bhikkhu dwell perceiving again and again the five aggregates of clinging as just the five aggregates of clinging?
Et comment, O bhikkhus, un bhikkhu demeure-t-il dans la contemplation des objets mentaux sur les objets mentaux des cinq agrégats d'attachement?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นดังนี้ว่า
Here (in this teaching), bhikkhus, a bhikkhu perceives thus:
Voici,un moine considère:

อย่างนี้รูป
"This is the corporeal body (rupa);
" voici une forme,

อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป
this is the cause and the actual appearing of the corporeal body;
ainsi elle apparaît,

อย่างนี้ความดับแห่งรูป
this is the cause and the actual dissolution of the corporeal body.
ainsi elle disparaît ".

อย่างนี้เวทนา
This is feeling (vedana)
" voici une sensation,

อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา
this is the cause and the actual appearing of feeling
ainsi elle apparaît,

อย่างนี้ความดับแห่งเวทนา
this is the cause and the actual dissolution of feeling.
ainsi elle disparaît ".

อย่างนี้สัญญา
This is perception (sanna);
" voici une perception,

อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา
this is the cause and the actual appearing of perception;
ainsi elle apparaît,

อย่างนี้ความดับแห่งสัญญา
this is the cause and the actual dissolution of perception.
ainsi elle disparaît ".

อย่างนี้สังขาร
These are mental formations (sankhara);
" voici une construction mentale,

อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร
this is the cause and the actual appearing of mental formations;
ainsi elle apparaît,

อย่างนี้ความดับแห่งสังขาร
this is the cause and the actual dissolution of mental formations.
ainsi elle disparaît ".

อย่างนี้วิญญาณ
This is consciousness (vinnana);
" voici une conscience,

อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ
this is the cause and the actual appearing of consciousness;
ainsi elle apparaît,

อย่างนี้ความดับแห่งวิญญาณ
this is the cause and the actual dissolution of consciousness."note79
ainsi elle disparaît ".


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux intérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas in others;
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux extérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas in both himself and in others
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of dhammas;
Il demeure contemplant l'apparition des objets mentaux,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในธรรมบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of dhammas;
Il demeure contemplant la disparition des objets mentaux,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing and dissolution of dhammas;with their causes. note77
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition des objets mentaux.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the dhammas exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà des objets mentaux" est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views
he dwells without clinging to anything in the world.
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, this is a way in which a bhikkhu dwells perceiving again and again
the five aggregates of clinging as just the five aggregates of clinging.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux des cinq agrégats d'attachement.

จบขันธบรรพ



iii. Ayatana Pabba (Section on Sense Bases)
C) Les six sphères des sens.



[๒๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง
And again, bhikkhus,
Puis encore, O bhikkhus,

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖
a bhikkhu dwells perceiving again and again the six internal and external sense bases (ayatana)note81 as just the six internal and external sense bases (not mine, not I, not self, but just as phenomena).
un bhikkhu demeure dans la contemplation des objets mentaux sur les objets mentaux des six sphères des sens intérieures et extérieures.

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖ อย่างไรเล่า
And how, bhikkhus, does a bhikkhu dwell perceiving again and again the six internal and external sense bases as just the six internal and external sense bases?
Et comment, O bhikkhus, un bhikkhu demeure-t-il dans la contemplation des objets mentaux sur les objets mentaux des six sphères des sens intérieures et extérieures?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อม
Here (in this teaching),bhikkhus, a bhikkhu
Voici, O bhikkhus, un bhikkhu

รู้จักนัยน์ตา
knows the eye
connaît l'oeil,

รู้จักรูป และ
and the visible objects
il connaît les formes

รู้จักนัยน์ตาและรูปทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์
and the fetter that arises dependent on both.
Il connaît l'entrave qui apparaît à cause des deux.

อนึ่ง

สังโยชน์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the fetter which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition de l'entrave non apparue.

สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the fetter that has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet de l'entrave apparue.

สังโยชน์ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the discarded fetter will not arise in the future.note82
Il sait comment se produit à l'avenir la non-apparition de l'entrave rejetée.

ภิกษุย่อม

รู้จักหู
He knows the ear
Il connaît l'oreille,

รู้จักเสียง และ.
and sounds
il connaît les sons

รู้จักหู และเสียง ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์
and the fetter that arises dependent on both
Il connaît l'entrave qui apparaît à cause des deux.

อนึ่ง

สังโยชน์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the fetter which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition de l'entrave non apparue.

สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the fetter that has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet de l'entrave apparue.

สังโยชน์ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the discarded fetter will not arise in the future.note82
Il sait comment se produit à l'avenir la non-apparition de l'entrave rejetée.

ภิกษุย่อม

รู้จักจมูก
He knows the nose
Il connaît le nez,

รู้จักกลิ่น และ
and odours
il connaît les odeurs.

รู้จักจมูก และ กลิ่น ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์
and the fetter that arises dependent on both.
Il connaît l'entrave qui apparaît à cause des deux.

อนึ่ง

สังโยชน์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the fetter which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition de l'entrave non apparue.

สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the fetter that has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet de l'entrave apparue.

สังโยชน์ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the discarded fetter will not arise in the future.note82
Il sait comment se produit à l'avenir la non-apparition de l'entrave rejetée.

ภิกษุย่อม

รู้จักลิ้น
He knows the tongue
Il connaît la langue,

รู้จักรส และ
and tastes
il connaît les goûts.

รู้จักลิ้น และ รส ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์
and the fetter that arises dependent on both.
Il connaît l'entrave qui apparaît à cause des deux.

อนึ่ง

สังโยชน์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the fetter which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition de l'entrave non apparue.

สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the fetter that has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet de l'entrave apparue.

สังโยชน์ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the discarded fetter will not arise in the future.note82
Il sait comment se produit à l'avenir la non-apparition de l'entrave rejetée.

ภิกษุย่อม

รู้จักกาย
He knows the body
Il connaît le corps,

รู้จักสิ่งที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย และ
and tactile objects
il connaît les contacts.

รู้จักกาย และ สิ่งที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย
ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์
and the fetter that arises dependent on both.
Il connaît l'entrave qui apparaît à cause des deux.

อนึ่ง

สังโยชน์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the fetter which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition de l'entrave non apparue.

สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the fetter that has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet de l'entrave apparue.

สังโยชน์ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the discarded fetter will not arise in the future.note82
Il sait comment se produit à l'avenir la non-apparition de l'entrave rejetée.

ภิกษุย่อม

รู้จักใจ
He knows the mind
Il connaît le mental,

รู้จักธรรมารมณ์ และ
and mind objects (dhamma)
il connaît les objets mentaux.

รู้จักใจและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์
and the fetter that arises dependent on both.
Il connaît l'entrave qui apparaît à cause des deux.

อนึ่ง

สังโยชน์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the fetter which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition de l'entrave non apparue.

สังโยชน์ที่เกิดขึ้นแล้วจะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the fetter that has arisen comes to be discarded;
Il sait comment se produit le rejet de l'entrave apparue.

สังโยชน์ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the discarded fetter will not arise in the future.note82
Il sait comment se produit à l'avenir la non-apparition de l'entrave rejetée.


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux intérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas in others;
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux extérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas in both himself and in others
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of dhammas;
Il demeure contemplant l'apparition des objets mentaux,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในธรรมบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of dhammas;
Il demeure contemplant la disparition des objets mentaux,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing and dissolution of dhammas;with their causes. note77
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition des objets mentaux.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the dhammas exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà des objets mentaux" est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views
he dwells without clinging to anything in the world.
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖ อยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, in this way a bhikkhu dwells perceiving again and again the six internal and external sense bases as just the six internal and external sense bases.

C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux des six sphères des sens intérieures et extérieures.

จบอายตนบรรพ




iv. Bojjhanga Pabba
(Section on Enlightenment Factors)
D) Les sept facteurs d'éveil.



[๒๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ โพชฌงค์ ๗
And again, bhikkhus, a bhikkhu dwells perceiving again and again
the seven factors of enlightenment (bhojjanga) as just the seven factors of enlightenment
(not mine, not I, not self, but just as phenomena).
Puis encore, O bhikkhus, un bhikkhu demeure dans la contemplation
des objets mentaux sur les objets mentaux des sept facteurs d'éveil.

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือโพชฌงค์ ๗ อย่างไรเล่า
And how, bhikkhus, does a bhikkhu dwell perceiving again and again
the seven factors of enlightenment as just the seven factors of enlightenment?
Et comment, O bhikkhus, un bhikkhu demeure-t-il dans la contemplation
des objets mentaux sur les objets mentaux des sept facteurs d'éveil ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
Here (in this teaching), bhikkhus,
1. Voici, O bhikkhus,

เมื่อสติสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
while the enlightenment factor of mindfulness (sati-sambojjhanga) note84 is present in him,
a bhikkhu knows, "The enlightenment factor of mindfulness is present in me"; or
si le facteur d'éveil de l'attention est présent en lui,
un bhikkhu sait: " le facteur d'éveil de l'attention est en moi ".

เมื่อสติสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while the enlightenment factor of mindfulness is not present in him,
he knows, "The enlightenment factor of mindfulness is not present in me."
Si le facteur d'éveil de l'attention n'est pas en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de l'attention n'est pas en moi ".

อนึ่ง

สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the enlightenment factor of mindfulness
which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition du facteur d'éveil
de l'attention non apparu.

สติสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the complete fulfillment in developing
the arisen enlightenment factor of mindfulness comes to be.note85
Il sait comment s'épanouit pleinement le facteur d'éveil
de l'attention apparu.

อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่าธัมมวิจยสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
While the enlightenment factor of investigation of phenomena (dhammavicaya-bhojjanga)note86 is present in him,
he knows, "The enlightenment factor of investigation of phenomena is present in me"; or
2. Si le facteur d'éveil de l'investigation des phénomènes est présent en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de l'investigation des phénomènes est en moi ".

เมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่าธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while the enlightenment factor of investigation of phenomena is not present in him,
he knows, "The enlightenment factor of investigation of phenomena is not present in me."
Si le facteur d'éveil de l'investigation des phénomènes n'est pas en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de l'investigation des phénomènes n'est pas en moi ".

อนึ่ง

ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the enlightenment factor of investigation of phenomena
which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition du facteur d'éveil
de l'investigation des phénomènes non apparu.

ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the complete fulfillment in developing
the arisen enlightenment factor of investigation of phenomena comes to be.
Il sait comment s'épanouit pleinement le facteur d'éveil
de l'investigation des phénomènes apparu.

อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อวิริยสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
While the enlightenment factor of effort (viriya-sambojjhanga)note87 is present in him,
he knows, "The enlightenment factor of effort is present in me", or
3. Si le facteur d'éveil de l'énergie est présent en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de l'énergie est en moi ".

เมื่อวิริยสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while the enlightenment factor of effort is not present in him,
he knows, "The enlightenment factor of effort is not present in me."
Si le facteur d'éveil de l'énergie n'est pas en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de l'énergie n'est pas en moi ".

อนึ่ง

วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the enlightenment factor of effort which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition du facteur d'éveil de l'énergie non apparu.

วิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the complete fulfillment in developing
the arisen enlightenment factor of effort comes to be.
Il sait comment s'épanouit pleinement le facteur d'éveil de l'énergie apparu.

อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อปีติสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ปีติสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
While the enlightenment factor of rapture (piti-sambojjhanga)note88 is present in him,
he knows, "The enlightenment factor of rapture is present in me"; or
4. Si le facteur d'éveil de l'intérêt joyeux est présent en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de l'intérêt joyeux est en moi ".

เมื่อปีติสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ปีติสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while the enlightenment factor of rapture is not present in him,
he knows, "The enlightenment factor of rapture is not present in me."
Si le facteur d'éveil de l'intérêt joyeux n'est pas en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de l'intérêt joyeux n'est pas en moi ".

อนึ่ง

ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the enlightenment factor of rapture
which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition du facteur d'éveil
de l'intérêt joyeux non apparu.

ปีติสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the complete fulfillment in developing
the arisen enlightenment factor of rapture comes to be.
Il sait comment s'épanouit pleinement le facteur d'éveil de l'intérêt joyeux apparu.

อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
While the enlightenment factor of tranquility (passadhi-sambojjhanga)note89 is present in him, or
he knows, "The enlightenment factor of tranquility is present in me";
5. Si le facteur d'éveil de la tranquilité est présent en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de la tranquilité est en moi ".

เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while the enlightenment factor of tranquility is not present in him,
he knows, "The enlightenment factor of tranquility is not present in me."
Si le facteur d'éveil de la tranquilité n'est pas en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de la tranquilité n'est pas en moi ".

อนึ่ง
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the enlightenment factor of tranquility
which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition du facteur d'éveil de la tranquilité non apparu.

ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the complete fulfillment in developing
the arisen enlightenment factor of tranquility comes to be.
Il sait comment s'épanouit pleinement le facteur d'éveil
de la tranquilité apparu.

อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
While the enlightenment factor of concentration (samadhi-sambojjhanga) note90 is present in him,
he knows, "The enlightenment factor of concentration is present in me"; or 6. Si le facteur d'éveil de la concentration est présent en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de la concentration est en moi ".

เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while the enlightenment factor of concentration is not present in him,
he knows, "The enlightenment factor of concentration is not present in me."
Si le facteur d'éveil de la concentration n'est pas en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de la concentration n'est pas en moi "

อนึ่ง

สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the enlightenment factor of concentration
which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition du facteur d'éveil
de la concentration non apparu.

สมาธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the complete fulfillment in developing
the arisen enlightenment factor of concentration comes to be.
Il sait comment s'épanouit pleinement le facteur d'éveil
de la concentration apparu.

อีกอย่างหนึ่ง
เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ
While the enlightenment factor of equanimity (upekkha-sambojjhanga) note91 is present in him,
he knows, "The enlightenment factor of equanimity is present in me"; or
7. Si le facteur d'éveil de l'équanimité est présent en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de l'équanimité est en moi ".

เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา
while the enlightenment factor of equanimity is not present in him,
he knows, "The enlightenment factor of equanimity is not present in me."
Si le facteur d'éveil de l'équanimité n'est pas en lui,
il sait: " le facteur d'éveil de l'équanimité n'est pas en moi ".

อนึ่ง
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
He also knows how the enlightenment factor of equanimity
which has not yet arisen comes to arise;
Il sait comment se produit l'apparition du facteur d'éveil
de l'équanimité non apparu.

อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
and he knows how the complete fulfilment in developing
the arisen enlightenment factor of equanimity comes to be.
Il sait comment s'épanouit pleinement le facteur d'éveil de l'équanimité apparu.


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux intérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas in others;
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux extérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas in both himself and in others
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of dhammas;
Il demeure contemplant l'apparition des objets mentaux,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในธรรมบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of dhammas;
Il demeure contemplant la disparition des objets mentaux,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing and dissolution of dhammas;with their causes. note77
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition des objets mentaux.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the dhammas exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà des objets mentaux" est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views
he dwells without clinging to anything in the world.
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ โพชฌงค์ ๗ อยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, in this way a bhikkhu dwells perceiving again and again the seven factors of enlightenment as just the seven factors of enlightenment.
C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux des sept facteurs d'éveil..

จบโพชฌงคบรรพ


จบภาณวารที่หนึ่ง



v. Sacca Pabba
(Section on Noble Truths)
E) Les quatre Nobles Vérités.



[๒๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อริยสัจ ๔ อยู่
And again, bhikkhus, a bhikkhu dwells perceiving again and again
the Four Noble Truths as just the Four Noble Truths
(not mine, not I, not self, but just as phenomena).
Puis encore, O bhikkhus, un bhikkhu demeure dans la contemplation
des objets mentaux sur les objets mentaux des Quatre Nobles Vérités.

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคืออริยสัจ ๔ อยู่ อย่างไรเล่า
And how, bhikkhus, does a bhikkhu dwell perceiving again and again
the Four Noble Truths as just the Four Noble Truths?
Et comment, O bhikkhus, un bhikkhu demeure-t-il dans la contemplation
des objets mentaux sur les objets mentaux des Quatre Nobles Vérités ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า
Here, (in this teaching), bhikkhus,
Voici, O bhikkhus,

นี้ทุกข์
a bhikkhu knows as it really is,"This is dukkha";
un bhikkhu comprend selon la réalité: " Ceci est souffrance ".

นี้ทุกขสมุทัย
he knows as it really is, "This is the cause of dukkha";
Il comprend selon la réalité: " Ceci est l'origine de la souffrance ".

นี้ทุกขนิโรธ
he knows as it really is,"This is the cessation of dukkha";
Il comprend selon la réalité: " Ceci est la cessation de la souffrance ".

นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ฯ
he knows as it really is,"This is the path leading to the cessation of dukkha.''
Il comprend selon la réalité:" Ceci est la voie menant à la cessation de la souffrance ".

a. Dukkhasacca Pabba
(Section on the Noble Truth of Dukkha)
1. La Noble Vérité de la Souffrance



ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน
And what, bhikkhus, is the Noble Truth of dukkha?
Qu'est ce, O bhikkhus, que la Noble Vérité de la Souffrance ?

แม้ชาติก็เป็นทุกข์
Birth note93 is dukkha,
La naissance est souffrance,

แม้ชราก็เป็นทุกข์
ageing is also dukkha,
la vieillesse est souffrance, la maladie est souffrance,

แม้มรณะก็เป็นทุกข์
death is also dukkha;
la mort est souffrance,

แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็เป็นทุกข์
sorrow, lamentation, physical pain, mental pain and anguish are also dukkha;
le chagrin, les lamentations, la douleur, l'affliction et le désespoir sont souffrance;

แม้ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์
to have to associate with those (persons or things) one dislikes is also dukkha;
être uni à ce que l'on aime pas est souffrance,

แม้ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์
to be separated from those one loves or likes is also dukkha;
être séparé de ce que l'on aime est souffrance,

ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์
wishing for what one cannot get is also dukkha;
ne pas obtenir ce que l'on désire est souffrance,

โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ฯ
in short, the five aggregates of clinging are dukkha.note94
en bref, les cinq agrégats d'attachement sont souffrance.


[๒๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ก็ชาติเป็นไฉน
And what, bhikkhus, is birth (jati)?
a) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que la naissance ?

ความเกิด ความบังเกิด ความหยั่งลงเกิด เกิดจำเพาะ ความปรากฏแห่งขันธ์ ความได้อายตนะครบ
ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
The birth, the being born, the origination, the conception,
the springing into existence, the manifestation of the aggregates,
and the acquisition of the sense-bases of beings in this or that class of beings.
Pour tels ou tels êtres, appartenant à telle ou telle espèce,
leur naissance, leur origine, leur conception, leur venue au monde,
la manifestation de leurs agrégats, l'acquisition des sphères des sens,

อันนี้เรียกว่าชาติ ฯ
- this, bhikkhus, is called birth.
- ceci est appelé, O bhikkhus, la naissance.

ก็ชราเป็นไฉน
And what, bhikkhus, is ageing (jara)?
b) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que la vieillesse ?

ความแก่ ภาวะของความแก่ ฟันหลุด ผมหงอก หนังเป็นเกลียว ความเสื่อมแห่งอายุ ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆของเหล่าสัตว์นั้นๆ
It is the ageing, the getting frail, the loss of teeth, the greying of hair, the wrinkling of skin; the failing of the vital force, the wearing out of the sense faculties of beings in this or that class of beings
Pour tels ou tels êtres, appartenant à telle ou telle espèce, la vieillesse, le déclin croissant, la fragilité, l'apparition des cheveux blancs et des rides, la diminution des forces vitales, l'affaiblissement des facultés sensorielles,

อันนี้เรียกว่าชรา ฯ
- this, bhikkhus, is called ageing.
- ceci est appelé, O bhikkhus, la vieillesse.

ก็มรณะเป็นไฉน
And what, bhikkhus, is death (marana)?
c) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que la mort ?

ความเคลื่อน ภาวะของความเคลื่อน ความแตกทำลาย ความหายไป มฤตยู ความตาย ความทำกาละ ความทำลายแห่งขันธ์ ความทอดทิ้งซากศพไว้ ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ
The departing and vanishing, the destruction, the disappearance, the death, the completion of the life span, the dissolution of the aggregates (khandha), the discarding of the body, and the destruction of the physical life-force of beings in this or that class of beings
Pour tels ou tels êtres, appartenant à telle ou telle espèce, le départ, la disparition, leur destruction, leur disparition, leur mort, l'achève ment de leur vie, la dissolution des agrégats, le rejet du corps,

อันนี้เรียกว่ามรณะ ฯ
- this, bhikkhus, is called death.
- ceci est appelé, O bhikkhus, la mort.

ก็โสกะเป็นไฉน
And what, bhikkhus, is sorrow (soka)?note95
d) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que le chagrin ?

ความแห้งใจ กิริยาที่แห้งใจ ภาวะแห่งบุคคลผู้แห้งใจ ความผาก ณ ภายใน ความแห้งผาก ณ ภายใน ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว
The sorrow, the act of sorrowing, the sorrowful state of mind,the inward sorrow and the inward overpowering sorrow that arise because of this or that loss (of relatives, or possessions) or this or that painful state that one experiences
Quoi que l'on subisse par telle infortune ou tel contact avec un phénomène douloureux, le chagrin, la tristesse, l'état d'esprit attristé, le chagrin intérieur, le malaise intérieur,

อันนี้เรียกว่าโสกะ ฯ
- this, bhikkhus, is called sorrow.
- ceci est appelé, O bhikkhus, le chagrin.

ก็ปริเทวะเป็นไฉน
And what, bhikkhus is lamentation (parideva)?
e) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que les lamentations ?

ความคร่ำครวญ ความร่ำไรรำพัน กิริยาที่คร่ำครวญ กิริยาที่ร่ำไรรำพัน
ภาวะของบุคคลผู้คร่ำครวญ ภาวะของบุคคลผู้ร่ำไรรำพัน ของบุคคล
ผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว
The crying and lamenting, the act of crying and lamenting, and the state of crying and lamentation
that arises because of this or that loss (of relatives, or possessions)
or this or that painful state that one experiences
Quoi que l'on subisse par telle infortune ou tel contact avec un phénomène douloureux, est plainte, lamentation, l'état de gémissement et de lamentation,

อันนี้เรียกว่าปริเทวะ ฯ
- this bhikkhus, is called lamentation.
- ceci est appelé, O bhikkhus, les lamentations.

ก็ทุกข์เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is physical pain (dukkha)?
f) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que la douleur ?

ความลำบากทางกาย ความไม่สำราญทางกาย
ความเสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เป็นทุกข์เกิดแต่กายสัมผัส
The bodily pain and bodily unpleasantness, the painful and unpleasant feeling produced by bodily contact
La douleur physique et la gène physique, la sensation pénible et désagréable produite par un contact physique,

อันนี้เรียกว่าทุกข์ ฯ
- this, bhikkhus, is called physical pain.
- ceci est appelé, O bhikkhus, la douleur.

ก็โทมนัสเป็นไฉน
And what, bhikkhus, is mental pain (domanassa)?
g) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que l'affliction ?

ความทุกข์ทางจิต ความไม่สำราญทางจิต
ความเสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เป็นทุกข์เกิดแต่มโนสัมผัส
The pain in the mind and the unpleasantness in the mind, the painful and unpleasant feeling produced by mental contact La douleur mentale et la gène mentale, la sensation pénible et désagréable produite par un contact mental,

อันนี้เรียกว่าโทมนัส ฯ
- this, bhikkhus, is called mental pain.
- ceci est appelé, O bhikkhus, l'affliction.

ก็อุปายาสเป็นไฉน
And what, bhikkhus, is anguish (upayasa)?
h) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que le désespoir ?

ความแค้น ความคับแค้น
ภาวะของบุคคลผู้แค้น ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น ของบุคคล ผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว
The distress and anguish and the state of distress and anguish that arises because of this or that loss (of relatives, or possessions) or this or that painful state that one experiences
Quoi que l'on subisse par telle infortune ou tel contact avec un phénomène douloureux, la détresse et le désespoir, l'état déprimé et désespéré

อันนี้เรียกว่าอุปายาส ฯ
- this, bhikkhus, is called anguish.
- ceci est appelé, O bhikkhus, le désespoir.

ก็ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is the dukkha of having to associate with those (persons or things) one dislikes (appiyehi sampayogo dukkho)?
i) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que la souffrance d'être uni à ce que l'on n'aime pas ?

ความประสบความพรั่งพร้อม ความร่วม ความระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะอันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ หรือ ด้วยบุคคลผู้ปรารถนาสิ่งที่ ไม่เป็นประโยชน์
ปรารถนาสิ่งที่ไม่เกื้อกูล ปรารถนาความไม่ผาสุก
ปรารถนาความไม่เกษมจากโยคะ ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
Having to meet, remain with, be in close contact, or intermingle,
with sights, sounds, odours, tastes, tactile objects, and dhammas in this world which are undesirable, unpleasant or unenjoyable, or with those who desire one's disadvantage, loss, discomfort, or association with danger
Il y a des formes, les sons, des odeurs, des goûts, des contacts et des objets mentaux déplaisants, désagréables et repoussants qui produisent le malaise, sont maléfiques, incomfortables, perturbants; être unis, en contact, ensemble et joints à eux,

อันนี้เรียกว่า ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ ฯ
- this, bhikkhus, is called the dukkha of having to associate with those (persons or things) one dislikes.
- ceci est appelé, O bhikkhus, être uni à ce que l'on n'aime pas

ก็ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน
And, bhikkhus, what is the dukkha of being separated from those one loves or likes (piyehi vippayogo dukkho)?
j) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que la souffrance d'être séparé de ce que l'on aime ?

ความไม่ประสบความไม่พรั่งพร้อม ความไม่ร่วม ความไม่ระคน ด้วยรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือด้วยบุคคล
ผู้ปรารถนาประโยชน์ ปรารถนาสิ่งที่เกื้อกูล ปรารถนาความผาสุก ปรารถนา ความเกษมจากโยคะ คือ มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง มิตร อมาตย์หรือ ญาติสาโลหิต ซึ่งมีแก่ผู้นั้น
Not being able to meet, remain with, be in close contact, or intermingle,
with sights, sounds, odours, tastes, tactile objects, and dhammas in this world which are desirable, pleasant or enjoyable,
or with mother or father or brothers or sisters or friends or companions or maternal and paternal relatives who desire one's advantage, benefit, comfort or freedom from danger
Il y a des formes, les sons, des odeurs, des goûts, des contacts et des objets mentaux plaisants, agréables et attirants qui produisent le bien- être, sont bénéfiques, comfortables, reposants; il y a les mères, les pères, les frères, les soeurs, les frères ainés ou cadets, les amis, les compagnons, les relations familiales; ne pas être réunis, en com munauté, ensemble et séparés d'eux,

อันนี้เรียกว่า ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ฯ
- this, bhikkhus, is called the dukkha of being separated from those one loves or likes.
- Ceci est appelé, O bhikkhus, être séparé de ce que l'on aime.

ก็ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is the dukkha of wishing for what one cannot get?
k) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que la souffrance de ne pas obtenir ce que l'on désire ?

ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความเกิดเป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
Bhikkhus, in beings subject to birth and rebirth the wish arises:
Chez les êtres sujets à la naissance, le désir apparaît

โอหนอ ขอเราไม่พึงมีความเกิดเป็นธรรมดา
"Oh that we were not subject to birth and rebirth!
'O puissions-nous ne pas être sujet à la naissance !

ขอความเกิดอย่ามีมาถึงเราเลย
Oh that birth and rebirth would not happen to us!"
O, si cette naissance n'était pas survenue!'

ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
But this cannot happen by merely wishing.
Mais on ne peut pas avoir cela par un simple souhait
et ne pas obtenir ce que l'on désire est souffrance.

แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์
This is the dukkha of wishing for what one cannot get.
- Ceci est appelé, O bhikkhus, ne pas obtenir ce que l'on désire

ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความแก่เป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า
Bhikkhus, in beings subject to ageing the wish arises:
Chez les êtres sujets à la vieillesse, le désir apparaît:

โอหนอ ขอเราไม่พึงมีความแก่เป็นธรรมดา
"Oh that we were not subject to ageing!
'O puissions-nous ne pas être sujet à la vieillesse !

ขอความแก่อย่ามีมาถึงเราเลย
Oh that ageing would not happen to us! "
O, si cette vieillesse n'était pas survenue!'

ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
But this cannot happen merely by wishing.
Mais on ne peut pas avoir cela par un simple souhait
et ne pas obtenir ce que l'on désire est souffrance.

แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์
This also is the dukkha of wishing for what one cannot get.
- Ceci est appelé, O bhikkhus, ne pas obtenir ce que l'on désire

ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความเจ็บเป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า
Bhikkhus, in beings subject to illness the wish arises:
Chez les êtres sujets à la maladie, le désir apparaît:

โอหนอ ขอเราไม่พึงมีความเจ็บเป็นธรรมดา
"Oh that we were not subject to illness!
'O puissions-nous ne pas être sujet à la maladie !

ขอความเจ็บอย่ามีมาถึงเราเลย
Oh that illness would not happen to us!"
O, si cette maladie n'était pas survenue!'

ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
But this cannot happen merely by wishing.
Mais on ne peut pas avoir cela par un simple souhait et ne pas obtenir ce que l'on désire est souffrance.

แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่า ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์
This also is the dukkha of wishing for what one cannot get.
- Ceci est appelé, O bhikkhus, ne pas obtenir ce que l'on désire

ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีความตายเป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า
Bhikkhus, in beings subject to death the wish arises:
Chez les êtres sujets à la mort, le désir apparaît:

โอหนอขอเราไม่พึงมความตายเป็นธรรมดา
"Oh that we were not subject to death!
'O puissions-nous ne pas être sujet à la mort !

ขอความตายอย่ามีมาถึงเราเลย
Oh that death would not happen to us!",
O, si cette mort n'était pas survenue!'

ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
But this cannot happen merely by wishing.
Mais on ne peut pas avoir cela par un simple souhait
et ne pas obtenir ce que l'on désire est souffrance

แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์
This also is the dukkha of wishing for what one cannot get.
Ceci est appelé, O bhikkhus, ne pas obtenir ce que l'on désire

ความปรารถนา ย่อมบังเกิดแก่สัตว์ผู้มีโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส
เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า
Bhikkhus, in beings subject to sorrow, lamentation, physical pain, mental pain and anguish the wish arises:
Chez les êtres sujets au chagrin, le désir apparaît:

โอหนอ ขอเราไม่พึงมีโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาสเป็นธรรมดา
"Oh that we were not subject to sorrow, lamentation, physical pain, mental pain and anguish!
'O puissions-nous ne pas être sujet au chagrin !

ขอโสกปริเทวทุกขโทมนัสอุปายาส อย่ามีมาถึงเราเลย
Oh that sorrow, lamentation, physical pain, mental pain, and anguish would not happen to us!"
O, si ce chagrin n'était pas survenu !

ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
But this cannot happen merely by wishing.
Mais on ne peut pas avoir cela par un simple souhait et ne pas obtenir ce que l'on désire est souffrance.

แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์ ฯ
This also is the dukkha of wishing for what one cannot get.note96 - Ceci est appelé, O bhikkhus, ne pas obtenir ce que l'on désire

ก็โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is (meant by)
"In short, the five aggregates of clinging are dukkha"?
l) Et qu'est-ce, O bhikkhus, que le sens de: " en bref, les cinq agrégats d'attachement sont souffrance ? "

อุปาทานขันธ์ คือ
They are
Ce sont

รูป
the aggregate of corporeality,
les agrégats de la forme,

เวทนา
the aggregate of feeling,
les agrégats de la sensation,

สัญญา
the aggregate of perception,
les agrégats de la perception,

สังขาร
the aggregate of mental formations, and
les agrégats des formations mentales

วิญญาณ
the aggregate of consciousness.
et les agrégats de la conscience.

เหล่านี้เรียกว่า โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ฯ
These, bhikkhus, are what is meant by
"In short, the five aggregates of clinging are dukkha.''
C'est ce qu'on appelle: en bref, les cinq agrégats d'attachement sont souffrance





b. Samudayasacca Pabba
(Section on the Noble Truth of the Cause of Dukkha)
2.La Noble Vérité de l'Origine de la Souffrance ?



[๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจ เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is the Noble Truth of the cause of dukkha?
Qu'est ce, O bhikkhus, que la Noble Vérité de l'Origine de la Souffranc ?

ตัณหานี้ใด
It is that craving
C'est cette 'soif

อันมีความเกิดอีก ประกอบ
which gives rise to fresh rebirth;
qui donne lieu à une renaissance,
ด้วยความกำหนัด
and which together with delight and clinging,
et qui liée au plaisir et à la passion

ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ คือ
(accepts, enjoys, and) finds great delight in this or that
(existence or sense pleasure that happens to arise). Namely,
se réjouit ici et là, à savoir:

กามตัณหา
craving for sense pleasures (kamatanha),
la soif des plaisirs des sens,

ภวตัณหา
craving for (better) existences (bhavatanha),
la soif de devenir

วิภวตัณหา ฯ
and craving for non-existence (vibhavatanha).note97
et la soif d'anéantissement.


[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ตัณหานี้นั้น

เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่ไหน
When this craving arises, bhikkhus, where does it arise?
Mais où cette soif apparaît-elle?

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่ไหน
When it establishes itself,note98 where does it establish itself?
Où prend-elle racine?

ที่ใดเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ตัณหานั้น
เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้
When this craving arises and establishes itself,
it does so in the delightful and pleasurable characteristics of the world.note99
Partout dans le monde où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,
cette soif apparaît et prend racine.

อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ฯ
What are the delightful and pleasurable characteristics of the world?
Dans quel monde, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine ?

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ ณ ที่นี้ ฯ

In the world, the eye has the characteristic of being delightful and pleasurable. When this craving arises, it arises there (i.e. in the eye); when it establishes itself, it establishes itself there. In the world, the ear…. In the world, the nose…. In the world, the tongue…. In the world, the body…. In the world, the mind has
the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving arises it arises there;
when it establishes itself, it establishes itself there.

Dans le monde de l'oeil, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de l'oreille, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du nez, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la langue, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du corps, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de l'esprit, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif apparaît et prend racine.

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ

In the world, visible objects…. In the world, sounds…. In the world, odours…. In the world, tastes…. In the world, tactile objects…. In the world, dhammas have
the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving arises it arises there;
when it establishes itself, it establishes itself there.

Dans le monde des formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde des sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde des odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde des goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde des contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde des objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif apparaît et prend racine.

จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
กายวิญญาณ มโนวิญญาณ
เป็นที่รักที่เจริญในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดขึ้นในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ

In the world, eye-consciousness…. In the world, ear-consciousness…. In the world, nose-consciousness…. In the world, tongue-consciousness…. In the world, body-consciousness…. In the world, mind-consciousness has
the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving arises it arises there;
when it establishes itself, it establishes itself there.

Dans le monde de la conscience visuelle, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la conscience auditive, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la conscience olfactive, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la conscience gustative, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la conscience tactile, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la conscience mentale, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif apparaît et prend racine.

จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส
กายสัมผัส มโนสัมผัส
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ

In the world, eye-contact…. In the world, ear-contact…. In the world, nose- contact…. In the world, tongue-contact…. In the world, body-contact…. In the world, mind-contact has
the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving arises it arises there;
when it establishes itself, it establishes itself there.note100

Dans le monde du contact de l'oeil, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du contact de l'oreille, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du contact du nez, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du contact de la langue, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du contact du corps, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du contact de l'esprit, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif apparaît et prend racine.

จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ

In the world, the feeling born of eye-contact…. In the world, the feeling born of ear-contact…. In the world, the feeling born of nose-contact…. In the world, the feeling born of tongue-contact…. In the world, the feeling born of body- contact…. In the world, the feeling born of mind-contact has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving arises it arises there;
when it establishes itself, it establishes itself there.

Dans le monde de la sensation née du contact de l'oeil, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la sensation née du contact de l'oreille, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la sensation née du contact du nez, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la sensation née du contact de la langue, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la sensation née du contact du corps, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la sensation née du contact de l'esprit, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif apparaît et prend racine.

รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา
โผฏฐัพพสัญญา ธัมมสัญญา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหาเมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ

In the world, the perception of visible objects…. In the world, the perception of sounds…. In the world, the perception of odours…. In the world, the perception of tastes…. In the world, the perception of tactile objects…. In the world, the perception of dhammas has
the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving arises it arises there,
when it establishes itself, it establishes itself there.

Dans le monde de la perception des formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la perception des sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la perception des odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la perception des goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la perception des contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la perception des objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif apparaît et prend racine.

รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา
โผฏฐัพพสัญเจตนา ธัมมสัญเจตนา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ

In the world, the volition towards visible objects…. In the world, the volition to wards sounds…. In the world, the volition towards odours…. In the world, the volition towards tastes…. In the world, the volition towards tactile objects…. In the world, the volition towards dhammas has
the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving arises it arises there;
when it establishes itself, it establishes itself there.note101

Dans le monde des intentions envers les formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde des intentions envers les sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde des intentions envers les odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde des intentions envers les goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde des intentions envers les contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde des intentions envers les objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif apparaît et prend racine.

รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา
โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ

In the world, the craving for visible objects…. In the world, the craving for sounds…. In the world, the craving for odours…. In the world, the craving for tastes…. In the world, the craving for tactile objects….
In the world, the craving for dhammas has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving arises it arises there; when it establishes itself, it establishes itself there.

Dans le monde du désir des formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du désir des sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du désir des odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du désir des goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du désir des contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde du désir des objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif apparaît et prend racine.

รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธัมมวิตก
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ

In the world, the initial thinking about visible objects…. In the world, the initial thinking about sounds…. In the world, the initial thinking about odours…. In the world, the initial thinking about tastes…. In the world, the initial thinking about tactile objects…. In the world, the initial thinking about dhammas has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving arises it arises there;
when it establishes itself, it establishes itself there.note102

Dans le monde de la pensée appliquée aux formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la pensée appliquée aux sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la pensée appliquée aux odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la pensée appliquée aux goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la pensée appliquée aux contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de la pensée appliquée aux objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif apparaît et prend racine.

รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร
โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้
เมื่อจะตั้งอยู่ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้ ฯ

In the world, the continued thinking about visible objects…. In the world, the continued thinking about sounds…. In the world, the continued thinking about odours…. In the world, the continued thinking about tastes…. In the world, the continued thinking about tactile objects…. In the world, the continued thinking about dhammas has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving arises it arises there;
when it establishes itself, it establishes itself there.

Dans le monde de l'analyse des formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de l'analyse des sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de l'analyse des odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de l'analyse des goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de l'analyse des contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif apparaît et prend racine.
 Dans le monde de l'analyse des objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif apparaît et prend racine.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ ฯ
This, bhikkhus, is called the Noble Truth of the cause of dukkha. 
Ceci, O bhikkhus, est la Noble Vérité de l'apparition de la Souffrance.


c. Nirodhasacca Pabba
(Section on the Noble Truth of the Cessation of Dukkhala)
3.La Noble Vérité de la Cessation de la Souffrance



[๒๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน
And what, bhikkhus, is the Noble Truth of the cessation of dukkha?
Qu'est ce, O bhikkhus, que la Noble Vérité de la Cessation de la Souffrance ?

ความสำรอกและความดับโดยไม่เหลือ
It is the complete extinction and cessation of this very craving,
C'est la complète disparition et l'extinction de cette soif même,

ความสละ ความส่งคืน
its abandoning and discarding,
son abandon,

ความปล่อยวาง ความไม่มีอาลัย ในตัณหานั้น
the liberation and detachment from it.
s'en libérer, s'en détacher.

ก็ตัณหานั้น
เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่ไหน
Bhikkhus, when this craving is abandoned, where is it abandoned?
Mais où cette soif peut-elle être abandonnée?


เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน
When it ceases, where does it cease?
Où peut-elle être éteinte

ที่ใดเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก
ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้
When this craving is abandoned or ceases it does so in the delightful
and pleasurable characteristics of the world.note103
Dans le monde, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,
là cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.

อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ฯ
What are the delightful and pleasurable characterictics of the world?
Dans quel monde, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut-elle être abandonnée et peut elle-être éteinte?

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

In the world, the eye has the characteristic of being delightful and pleasurable. When this craving is abandoned, it is abandoned there (i.e. in the eyes); when it ceases, it ceases there. In the world, the ear…. In the world, the nose…. In the world, the tongue…. In the world, the body…. In the world, the mind has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving is abandoned it is abandoned there;
when it ceases, it ceases there

Dans le monde de l'oeil, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de l'oreille, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du nez, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la langue, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du corps, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de l'esprit, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

In the world, visible objects…. In the world, sounds…. In the world, odours…. In the world, tastes…. In the world, tactile objects…. In the world, dhammas have the characteristic of being delightful and pleasurable. When this craving is abandoned, it is abandoned there; when it ceases, it ceases there.
 In the world, eye-consciousness…. In the world, ear-consciousness…. In the world, nose-consciousness…. In the world, tongue-consciousness…. In the world, body-consciousness…. In the world, mind-consciousness has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving is abandoned, it is abandoned there;
when it ceases, it ceases there.

Dans le monde des formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde des sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde des odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde des goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde des contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde des objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.

จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ
กายวิญญาณ มโนวิญญาณ
เป็นที่รักที่เจริญในโลก

ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

In the world, eye-consciousness…. In the world, ear-consciousness…. In the world, nose-consciousness…. In the world, tongue-consciousness…. In the world, body-consciousness…. In the world, mind-consciousness has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving is abandoned, it is abandoned there;
when it ceases, it ceases there.

Dans le monde de la conscience visuelle, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la conscience auditive, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la conscience olfactive, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la conscience gustative, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la conscience tactile, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la conscience mentale, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.

จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส
กายสัมผัส มโนสัมผัส
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

In the world, eye-contact…. In the world, ear-contact…. In the world, nose- contact…. In the world, tongue-contact…. In the world, body-contact…. In the world, mind-contact has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving is abandoned, it is abandoned there;
when it ceases, it ceases there.

Dans le monde du contact de l'oeil, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du contact de l'oreille, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du contact du nez, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du contact de la langue, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du contact du corps, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du contact de l'esprit, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.

จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

In the world, the feeling born of eye-contact…. In the world, the feeling born of ear-contact…. In the world, the feeling born of nose-contact…. In the world, the feeling born of tongue-contact…. In the world, the feeling born of mind- contact has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving is abandoned, it is abandoned there;
when it ceases, it ceases there.

Dans le monde de la sensation née du contact de l'oeil, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la sensation née du contact de l'oreille, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la sensation née du contact du nez, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la sensation née du contact de la langue, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la sensation née du contact du corps, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la sensation née du contact de l'esprit, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.

รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา
โผฏฐัพพสัญญา ธัมมสัญญา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

In the world, the perception of visible objects…. In the world, the perception of sounds…. In the world, the perception of odours…. In the world, the percep tion of tastes…. In the world, the perception of tactile objects…. In the world, the perception of dhammas has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving is abandoned, it is abandoned there;
when it ceases, it ceases there.

Dans le monde de la perception des formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la perception des sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la perception des odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la perception des goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la perception des contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la perception des objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.

รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา
โผฏฐัพพสัญเจตนา ธัมมสัญเจตนา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

In the world, the volition towards visible objects…. In the world, the volition to wards sounds…. In the world, the volition towards odours…. In the world, the volition towards tastes…. In the world, the volition towards tactile objects…. in the world, the volition towards dhammas has the characteristic of being de lightful and pleasurable.

When this craving is abandoned, it is abandoned there;
when it ceases, it ceases there.

Dans le monde des intentions envers les formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde des intentions envers les sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde des intentions envers les odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde des intentions envers les goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde des intentions envers les contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde des intentions envers les objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.

รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา
โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

In the world, the craving for visible objects…. In the world, the craving for sounds…. In the world, the craving for tastes…. In the world, the craving for tactile objects…. In the world, the craving for dhammas has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving is abandoned, it is abandoned there;
when it ceases, it ceases there

Dans le monde du désir des formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du désir des sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du désir des odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du désir des goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du désir des contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde du désir des objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.

รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก
โผฏฐัพพวิตก ธัมมวิตก
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

In the world, the initial thinking about visible objects…. In the world, the initial thinking about sounds…. In the world, the initial thinking about odours…. In the world, the initial thinking about tastes…. In the world. the initial thinking about tactile objects…. In the world, the initial thinking about dhammas has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving is abandoned, it is abandoned there;
when it ceases, it ceases there.

Dans le monde de la pensée appliquée aux formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la pensée appliquée aux sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la pensée appliquée aux odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la pensée appliquée aux goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la pensée appliquée aux contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de la pensée appliquée aux objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.

รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร
โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้
เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

In the world, the continued thinking about visible objects…. In the world, the continued thinking about sounds…. In the world, the continued thinking about odours…. In the world, the continued thinking about tastes…. In the world, the continued thinking about dhammas has the characteristic of being delightful and pleasurable.

When this craving is abandoned, it is abandoned there;
when it ceases, it ceases there.

Dans le monde de l'analyse des formes, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de l'analyse des sons, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de l'analyse des odeurs, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de l'analyse des goûts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de l'analyse des contacts, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables, cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.
 Dans le monde de l'analyse des objets mentaux, là où il y a des formes plaisantes et des formes agréables,

cette soif peut être abandonnée et peut être éteinte.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯ
This, bhikkhus, is the Noble Truth of the cessation of dukkha.
Ceci, O bhikkhus, est la Noble Vérité de la cessation de la Souffrance.

d. Maggasacca Pabba

(Section on the Noble Truth of the Path leading to the cessation of Dukkha)
4.La Noble Vérité de la Voie menant à la Cessation de la Souffrance



[๒๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน
And what, bhikkhus, is the Noble Truth of the path leading to the cessation of dukkha?
Qu'est ce, O bhikkhus, que la Noble Vérité de la Voie menant à la Cessation de la Souffrance ?

นี้คือมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ คือ
It is the Noble Eightfold Path, namely,
C'est la Noble Voie à huit branches, à savoir:

สัมมาทิฏฐิ
Right View (Samma-ditthi),
Compréhension Juste,

สัมมาสังกัปปะ
Right Thought (Samma-sankappa),
Pensée Juste,

สัมมาวาจา
Right Speech (Samma-vaca),
Parole Juste,

สัมมากัมมันตะ
Right Action (Sammakammanta),
Action Juste,

สัมมาอาชีวะ
Right Livelihood (Samma-ajiva),
Moyens d'existence Justes,

สัมมาวายามะ
Right Effort (Samma-vayama),
Effort Juste,

สัมมาสติ
Right Mindfulness (Samma-sati),
Attention Juste,

สัมมาสมาธิ
and Right Concentration (Samma-samadhi).
Concentration Juste.

ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน
And what, bhikkhus, is Right View?
1. Qu'est-ce, O bhikkhus, que la Compréhension Juste ? O bhikkhus, c'est


ความรู้ในทุกข์
The understanding of dukkha;
la compréhension de la souffrance,

ความรู้ในทุกขสมุทัย
the understanding of the cause of dukkha;
la compréhension de l'Origine de la souffrance,

ความรู้ในทุกขนิโรธ
the understanding of the cessation of dukkha;
la compréhension de la Cessation de la souffrance,

ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
the understanding of the path leading to the cessation of dukkha.
la compréhension de la Voie menant à la Cessation de la souffrance;

อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ฯ
This, bhikkhus, is called Right View.note104
cela est appelé la compréhension de la souffrance.

สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is Right Thought?
2. Qu'est-ce, O bhikkhus, que la Pensée Juste ?

ความดำริในการออกจากกาม
Thoughts directed to liberation from sensuality;
La pensée libre de désir,

ความดำริในความไม่พยาบาท
thoughts free from ill-will;
la pensée libre de malveillance,

ความดำริในอันไม่เบียดเบียน
and thoughts free from cruelty.
la pensée libre de cruauté,

อันนี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ ฯ
This, bhikkhus, is called Right Thought.note105
cela est appelé la Pensée Juste.

สัมมาวาจา เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is Right Speech?
3. Qu'est-ce, O bhikkhus, que la Parole Juste ?

การงดเว้นจากการพูดเท็จ
Abstaining from lying,
S'abstenir de dire des paroles fausses,

งดเว้นจากการพูดส่อเสียด
from tale-bearing,note106
s'abstenir de colporter des histoires,

งดเว้นจากการพูดคำหยาบ
from abusive speech,
s'abstenir de prononcer des paroles dures,

งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ
and from vain and unbeneficial talk.note107
s'abstenir de bavardages,

อันนี้เรียกว่าสัมมาวาจา ฯ
This, bhikkhus, is called Right Speech.
cela est appelé la Parole Juste.

สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is Right Action?
4. Qu'est-ce, O bhikkhus, que l'Action Juste ?

การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์
Abstaining from killing living beings,note108
S'abstenir d'ôter la vie,

งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้
from stealingnote109
s'abstenir de prendre ce qui n'est pas donné,

งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม
and from wrongful indulgence in sense pleasures.note110
s'abstenir de mauvais comportement envers les plaisirs sensuels,

อันนี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ ฯ
This, bhikkhus, is called Right Action.
cela est appelé l'Action Juste.

สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is Right Livelihood?
5. Qu'est-ce, O bhikkhus, que les Moyens d'existence Justes ?


อริยสาวกในธรรมวินัยนี้
Here (in this teaching), bhikkhus, the noble disciple
Quand le Noble Disciple,

ละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย
completely abstains from a wrong way of livelihood
évitant un mauvais moyen d'existence

สำเร็จการเลี้ยงชีพด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ
and makes his living by a right means of livelihood
subvient à ses besoins par un bon moyen d'existence,

อันนี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ ฯ
This, bhikkhus, is called Right Livelihood.note111
cela est appelé le Moyen d'existence Juste.

สัมมาวายามะ เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is Right Effort?
6. Qu'est-ce, O bhikkhus, que l'Effort Juste ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
Here (in this teaching), bhikkhus,
Voici un bhikkhu,

เกิดฉันทะพยายาม ปรารภความเพียร ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้
a bhikkhu generates an intention, makes effort, rouses energy,
applies his mind, and strives ardently

เพื่อมิให้อกุศลธรรมอันลามกที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
to prevent the arising of evil, unwholesome states of mind
that have not yet arisen.
• face à quelque chose de malsain qui n'est pas encore apparu,
il élève sa volonté, fait un effort, secoue son énergie,
y applique son esprit et lutte.

เพื่อละอกุศลธรรมอันลามกที่บังเกิดขึ้นแล้ว
He generates an intention, makes effort, rouses energy,
applies his mind, and strives ardently to abandon evil,
unwholesome states of mind that have arisen.
• Face à quelque chose de malsain qui est apparu,
il élève sa volonté, fait un effort, secoue son énergie,
y applique son esprit et lutte.

เพื่อให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
He generates an intention, makes effort, rouses energy,
applies his mind, and strives ardently to attain
wholesome states of mind that have not yet arisen.
• Face à quelque chose de sain qui n'est pas encore apparu,
il éveille sa volonté, fait un effort, secoue son énergie,
y applique son esprit et lutte.

เพื่อความตั้งอยู่ไม่เลือนหาย เจริญยิ่ง ไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยม
แห่งกุศลธรรมที่บังเกิดขึ้นแล้ว
He generates an intention, makes effort, rouses energy,
applies his mind, and strives ardently to maintain
the wholesome states of mind that have arisen,
to prevent their lapsing, to increase them, to cause them to grow,
and to completely develop them.
• Face à quelque chose de sain qui est apparu,
pour le maintenir et ne pas le négliger, pour le développer,
l'amener à pleine maturité, le faire grandir, il éveille sa volonté,
fait un effort, secoue son énergie, y applique son esprit et lutte.

อันนี้เรียกว่า สัมมาวายามะ ฯ
This, bhikkhus, is called Right Effort.
Cela est appelé l'Effort Juste.

สัมมาสติ เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is Right Mindfulness?
7. Qu'est-ce, O bhikkhus, que l'Attention Juste ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้
Here (in this teaching), bhikkhu
Voici O bhikkhus,

พิจารณาเห็นกายในกายอยู่
a bhikkhu (i.e. a disciple) dwells perceiving again and again
the body (kaya) note13 as just the body
note14 (not mine, not I, not self, but just a phenomenon)
un bhikkhu demeure dans la contemplation du corps sur le corps,

มีความเพียร
with diligence, note15
ardent,

มีสัมปชัญญะ
clear understanding, note16
avec claire compréhension,

มีสติ
and mindfulness,
observant attentivement

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
thus keeping away covetousness and mental pain in the world;note17
et ayant écarté la convoitise et les soucis envers le monde.

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่
he dwells perceiving again and again feelings (vedana) note18
as just feelings (not mine, not I, not self but just as phenomena)
Il demeure dans la contemplation des sensations sur les sensations,

มีความเพียร
with diligence, note15
ardent,

มีสัมปชัญญะ
clear understanding, note16
avec claire compréhension,

มีสติ
and mindfulness,
observant attentivement

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
thus keeping away covetousness and mental pain in the world;note17
et ayant écarté la convoitise et les soucis envers le monde.

พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่
he dwells perceiving again and again the mind (citta) note19 as just the mind
(not mine, not I, not self but just a phenomenon)
Il demeure dans la contemplation de l'esprit sur l'esprit,

มีความเพียร
with diligence, note15
ardent,

มีสัมปชัญญะ
clear understanding, note16
avec claire compréhension,

มีสติ
and mindfulness,
observant attentivement

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
thus keeping away covetousness and mental pain in the world;note17
et ayant écarté la convoitise et les soucis envers le monde.

พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
he dwells perceiving again and again dhammas note20 as just dhammas
(not mine, not I, not self but just as phenomena)
Il demeure dans la contemplation des objets mentaux
sur les objets mentaux,

มีความเพียร
with diligence, note15
ardent,

มีสัมปชัญญะ
clear understanding, note16
avec claire compréhension,

มีสติ
and mindfulness,
observant attentivement

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑
thus keeping away covetousness and mental pain in the world;note17
et ayant écarté la convoitise et les soucis envers le monde.

อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ
This, bhikkhus, is called Right Mindfulness.
Cela est appelé l'Attention Juste.

สัมมาสมาธิ เป็นไฉน
And what, bhikkhus, is Right Concentration?
8. Qu'est-ce, O bhikkhus, que la Concentration Juste ?

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ สงัดจากกาม สงัดจาก อกุศลธรรม
Here (in this teaching), bhikkhus, a bhikkhu being detached
from sensual desire and unwholesome states
Voici, O bhikkhus, un bhikkhu:

บรรลุปฐมฌาน มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่
attains and dwells in the first jhana which has vitakka and vicara; and
rapture (piti) and sukha born of detachment (from the hindrances).note112
a) Détaché des plaisirs sensuels grossiers, détaché des choses non salutaires,
avec pensée appliquée à un objet (vitakka) et pensée analysant cet objet (vicâra),
avec la joie (pîti) et le bonheur (sukha) né de cette discrimination, il entre dans la première absorption et y demeure.

เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน
เป็นธรรมเอกผุดขึ้น เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร
มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่
With the subsiding of vitakka and vicara, a bhikkhu
attains and dwells in the second jhana, with internal tranquility and
one-pointedness of mind, without vitakka and vicara,
but with rapture and sukha born of concentration.
b) Lorsque la pensée appliquée à un objet (vitakka)
et la pensée analysant cet objet (vicâra) se sont calmées,
et que intérieurement l'esprit est tranquilisé et unifié,
il entre dans un état libre de pensée appliquée et de pensée analytique,
avec le ravissement (pîti) et le bonheur (sukha) né de cette composition de l'esprit; ainsi il entre dans la deuxième absorption et y demeure.

เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย
เพราะปีติสิ้นไป บรรลุตติยฌานที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยู่เป็นสุข
Being without rapture, a bhikkhu dwells in equanimity with mindfulness and clear understanding,
and experiences sukha in mind and body.
He attains and dwells in the third jhana; that which causes a person
who attains it to be praised by the Noble Ones note113
as one who has equanimity and mindfulness, one who abides in sukha.
c) Avec le détachement du ravissement, il demeure dans l'équanimité,
attentif et clairement conscient, éprouvant dans son corps ce bien-être
dont les Nobles disent: 'équanime et attentif, il demeure dans le bonheur';
ainsi il entre dans la troisième absorption et y demeure.

เธอบรรลุจตุตถฌาน ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์
และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่
By becoming detached from both sukha and dukkha and
by the previous cessation of gladness and mental pain,
a bhikkhu attains and dwells in the fourth jhana,
a state of pure mindfulness born of equanimity.
d) Ayant abandonné le bonheur, ayant abandonné la douleur,
ayant résorbé le plaisir et la peine précédente,
il se trouve dans un état au-delà du plaisir et de la souffrance,
purifié par l'équanimité et l'attention;
ainsi il entre dans la quatrième absorption et y demeure.

อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯ
This, bhikkhus, is called Right Concentration.
Cela est appelé la Concentration Juste.

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามิมีปฏิปทาอริยสัจ ฯ
This, bhikkhus, is called the Noble Truth of the path leading to the cessation of dukkha. Ceci, O bhikkus, est la Noble Vérité de la Voie menant à la Cessation de la Souffrance.


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมภายในบ้าง
Thus he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas
(not mine, not I, not self, but just a phenomenon) in himself;
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux intérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas in others;
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux extérieurement.

พิจารณาเห็นเห็นธรรมในธรรมทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง
or he dwells perceiving again and again dhammas as just dhammas in both himself and in others
Ainsi il demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux intérieurement et extérieurement.

พิจารณาเห็นธรรมคือความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง
He dwells perceiving again and again the cause
and the actual appearing of dhammas;
Il demeure contemplant l'apparition des objets mentaux,

พิจารณาเห็นธรรมคือความเสื่อมในธรรมบ้าง
or he dwells perceiving again and again the cause
and the actual dissolution of dhammas;
Il demeure contemplant la disparition des objets mentaux,

พิจารณาเห็นธรรมคือทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง
ย่อมอยู่
or he dwells perceiving again and again both the actual appearing and dissolution of dhammas;with their causes. note77
Il demeure contemplant l'apparition et la disparition des objets mentaux.

อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่
To summarize, he is firmly mindful of the fact that only the dhammas exists
(not a soul, a self or I).
La conscience: " Voilà des objets mentaux" est établie en lui
dans la simple mesure nécessaire

ก็เพียงสักว่าความรู้
That mindfulness is just for gaining insight (vipassana)
à la connaissance

เพียงสักว่าอาศัยระลึกเท่านั้น
and mindfulness progressively.
et à l'observation attentive.

เธอเป็นผู้อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก
Being detached from craving and wrong views
he dwells without clinging to anything in the world.
Ainsi il demeure libéré, ne s'attachant à rien dans le monde.


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อริยสัจ ๔ อยู่ ฯ
Thus, bhikkhus, in this way a bhikkhu dwells perceiving again and again the Four Noble Truths as just the Four Noble Truths. C'est ainsi, O bhikkhus, qu'un bhikkhu demeure contemplant les objets mentaux sur les objets mentaux des Quatre Nobles Vérités.

จบสัจจบรรพ

จบธัมมานุปัสสนา




[๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย
Indeed, bhikkhus,
En vérité, O bhikkhus,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี
in this manner for seven years,
de cette manière pendant sept ans,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๗ ปียกไว้
Let alone seven years, bhikkhus
Mais laissons ces sept ans, O bhikkhu

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๖ ปี
in this manner for six years,
de cette manière pendant six ans,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๖ ปียกไว้
Let alone seven years, bhikkhus,
Mais laissons ces six ans, O bhikkhus,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๕ ปี
in this manner for five years,
de cette manière pendant cinq ans,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๕ ปียกไว้
Let alone five years, bhikkhus,
Mais laissons ces cinq ans,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๔ ปี
in this manner for four years,
de cette manière pendant quatre ans,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๔ ปียกไว้
Let alone four years, bhikkhus,
Mais laissons ces quatre ans,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๓ ปี
in this manner for three years,
de cette manière pendant trois ans,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๓ ปียกไว้
Let alone three years, bhikkhus,
Mais laissons ces trois ans,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๒ ปี
in this manner for two years,
de cette manière pendant deux ans,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๒ ปียกไว้
Let alone two years, bhikkhus,
Mais laissons ces deux ans,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๑ ปี
in this manner for one year,
de cette manière pendant un an,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๑ ปียกไว้
Let alone one years, bhikkhus,
Mais laissons ces un an,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๗ เดือน
in this manner for seven months,
de cette manière pendant sept mois,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๗ เดือนยกไว้
Let alone seven months, bhikkhus,
Mais laissons ces sept mois,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๖ เดือน
in this manner for six months,
de cette manière pendant six mois,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๖ เดือนยกไว้
Let alone six months, bhikkhus,
Mais laissons ces six mois,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๕ เดือน
in this manner for five months,
de cette manière pendant cinq mois,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๕ เดือนยกไว้
Let alone five months, bhikkhus,
Mais laissons ces cinq mois,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๔ เดือน
in this manner for four months,
de cette manière pendant quatre mois,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๔ เดือนยกไว้
Let alone four months, bhikkhus,
Mais laissons ces quatre mois,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๓ เดือน
in this manner for three months,
de cette manière pendant trois mois,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๓ เดือนยกไว้
Let alone three months, bhikkhus,
Mais laissons ces trois mois,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๒ เดือน
in this manner for two months,
de cette manière pendant deux mois,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๒ เดือนยกไว้
Let alone seven months, bhikkhus,
Mais laissons ces deux mois,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๑ เดือน
in this manner for one month,
de cette manière pendant un mois,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

๑ เดือนยกไว้
Let alone one month, bhikkhus,
Mais laissons ce mois,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด กึ่ง เดือน
in this manner for half a month,
de cette manière pendant un demi mois,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).

กึ่งเดือนยกไว้
Let alone half a month, bhikkhus,
Mais laissons ce demi mois,

ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง
whosoever
quiconque

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้
practises these four satipatthanas
pratique ces quatre établissements de l'attention

อย่างนี้ ตลอด ๗ วัน
in this manner for seven days,
de cette manière pendant sept jours,

เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
one of two results is to be expected in him:
peut espérer l'un de ces deux résultats:

พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
Arahatship in this very existence, or
la Connaissance Suprême ici et maintenant,

เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
if there yet be any trace of clinging, the state of an Anagami.note115
ou s'il y a encore un reste d'attachement,l'état de non-retour (anâgâmi).


ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
This is what I meant when I said:
Bhikkhus, this is the one and the only way note6
A cause de cela on a dit:
" Ceci est la seule voie, bhikkhus,

เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์
for the purification (of the minds) of beings,
pour la purification des êtres,

เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ
for overcoming sorrow and lamentation,
pour transcender peines et chagrins,

เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส
for the cessation note7 of physical and mental pain note8
pour éteindre souffrance et insatisfaction,

เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง
for attainment of the Noble Paths note9
pour avancer sur la voie juste,

เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน
and for the realization of Nibbana note10.
pour réaliser le Nibbâna,

หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ ฉะนี้แล
That (only way) is the four satipatthanas note11.
à savoir les quatre établissements de l'attention. "

คำที่เรากล่าว ดังพรรณนามาฉะนี้
เราอาศัยเอกายนมรรคกล่าวแล้ว
This is what the Bhagava said.
Ainsi parla le Bienheureux.


พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว
ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แล ฯ
Delighted, the bhikkhus rejoice at the Bhagava's words.
Joyeux, les bhikkhus se réjouirent des paroles du Bienheureux.



จบมหาสติปัฏฐานสูตร ที่ ๙

Sadhu! Sadhu! Sadhu!

Le grand discours sur l'etablissement de l'attention est terminé.


Cette présente traduction est basée sur la traduction originale de Vén. Dhammapâlita Bhikkhu (lors de son séjour au Centre Bouddhique International). Elle tient aussi compte du texte pâli et des traductions françaises des ouvrages de Vén. Walpola Rahula et de celle de Vén. Nyânaponika Thera.

Mise à jour : 2 février 2003

Notes


1. The words of Ananda Mahathera who was the Buddha's attendant monk. He recited the texts of the Dhamma, as he had heard them from the Buddha, at the First Council of monks (approx. 544 b.c.).

2. This is a polite form of address which was used when monks spoke to the Buddha. It means ''Blessed One".

3. The Kuru country was located in North West India near New Delhi.

4. A bhikkhu is a Buddhist monk who has received full ordination.

5. "Bhadante" is a polite answer to an elder or superior. Its approximate meaning would be "Yes, Venerable Sir".

6. The one and the only way: ekayano, this means that this is: the only way which surely leads to the benefits listed, there is no other way, and this way leads to nowhere else. This statement does not need to be believed in blindly, but as a meditator practises he can verify it by his own experience.

7. Cessation (atthanamaya) is generally translated as "destruction" which might wrongly imply an active attack on the physical and mental pain. However, the physical and mental pain cease due to lack of craving, just as a fire is extinguished due to lack of fuel.

8. Physical and mental pain (dukkha-domanassa) is a compound word which denotes the whole spectrum of physical and mental pain. Here, dukkha (du = bad, painful, + kha = empty, space) refers to all types of physical pain, and domanassa (du = bad, painful + mana = mind) refers to all types of mental pain including frustration, grief, fear and various types of phobias and neuroses.

9. Here naya means the four Noble Paths (ariya magga). The Noble Path is the name for the consciousness that has Nibbana for its object. The Four Noble Paths are the path of a Stream Enterer (sotapatti magga), the path of the Once-returner (sakadagami magga), the path of a Non-returner (anagami magga), and the path of an Arahat (arahatta magga).

10. Nibbana (Skt. Nirvana), is a reality experienced by a mind totally free from greed, hatred, and delusion.

11. Satipatthana (Sati = mindfulness, awareness of what is occuring + patthana = that which plunges into and penetrates continuously, again and again) is the type of mindfulness that penetrates repeatedly into the body, feelings, mind, and dhammas, and sees the actual reality that is occurring. This is in contrast to the normal unmindful state in which the mind bounces or skips over these phenomena. "The four satipatthanas" might therefore be translated as the "four steadfast mindfulnesses".

12. The Four satipatthanas in Pali are kayanupassana, vedananupassana, cittanupassana and dhammanupassana.

13. Kaya is the aggregate of physical phenomena. Here it refers to the corporeal body.

14. The phrases, "body as just the body", "feelings as just feelings", show that the body, feelings, mind, and dhammas are not to be seen as mine, I or self. This is the natural knowledge that arises from observing the body, feelings, mind and dhammas with steadfast mindfulness. It is not a belief. Normally this knowledge is absent due to lack of steadfast mindfulness.

15. Diligence (atapi) means bringing the mind back to the object of meditation again and again no matter how many times it slips away.

16. Clear understanding (see Note 39)

17. World (loka) refers to anything that arises and passes away, i.e. the five aggregates of clinging.

18. Feelings (vedana) (see Note 45)

19. Mind (citta) is that which knows, is aware, or is conscious (see Cittanupassana Section).

20. The word dhamma has a number of meanings according to the context in which it is used. It can mean: natural phenomena, mental objects, a state, truth, reality, wisdom, actions, good actions, practice, cause and offence. Also, in English usage Dhamma (there are no capital letters in the Pali language) can mean the Teachings of the Buddha or the texts which contains those teachings.
Here, in this context dhamma is any natural phenomenon that is not a concept and it is specifically referring to the five hindrances, the five aggregates of clinging, the six internal and external sense bases, the seven factors of enlightenment and the Four Noble Truths.

21. The main point here is that the place for meditation should be as quiet and free from people and distractions as possible.

22. If sitting cross-legged is too painful the meditator will not be able to sit for very long. The main point is to sit in a comfortable and alert way. Therefore, a chair may be used. Mindfulness of breathing can also be developed while standing, walking or lying down.

23. The mindfulness should be directed to the place at which the breath makes contact with the upper lip or the tip of the nose depending on where it is felt in each individual.

24. The whole breath body (sabbakaya) means the whole breath from the beginning to the end.

25. As the mind calms down the breath will also calm down without exerting any conscious control over it.

26. It is not necessary to repeat all the above phrases in the mind, but the essential point is to be aware of the actual phenomena. These phrases are all examples to show that the meditator has to be aware of the breath in whichever condition it is in and does not need to control the breath in any way.

27. Here "body" means the process of breathing.

28. The meditator knows by inference that in others, just as in himself, there is no I or self that breathes but just breathing exists. This cuts out delusion concerning external phenomena.

29. This cannot be done at the same time but is done alternately.

30. The causes of the appearing and the dissolution of the breath are the existence or the non-existence of the body, the nasal apertures, and the mind. The actual appearing and the actual dissolution refer to the actual phenomena of the breath arising and passing away. The main point here is to be aware of the actual appearing and the actual dissolution of the breath so as to perceive its impermanent, unsatisfactory and soulless nature.

31. Wrong view refers to thinking that there is a permanent self or I who is breathing. If the meditator sees the breath as impermanent, unsatisfactory, and not self then there will be no craving or wrong view at that time.

32. See Note 17.

33. While walking (gacchanto) lit. means while going.

34. I am walking: Here as elsewhere in this discourse the use of the term "I" is only a grammatical usage and does not mean that an "I" really exists. In Pali language it is impossible to construct a verb without an ending showing a subject, for example,
gaccha + mi = gacchami, I am going
gaccha + ma = gacchama, we are going
A similar situation occurs in English where sometimes we have to make up a subject to make a sentence i.e. "It's raining". Clearly the "It" does not exist and there is only raining. Similarly there is only walking and no "I" who is walking.

35. When the meditator is aware of the actual motion of the legs and body, that is the sensation of touch and motion, he can be said to "know", "I am walking". In all the postures he should be aware of what is actually happening in a similar way.

36. The meditator should even be aware of movements of the body within a posture, e.g. while sitting he moves an arm or while lying down he rolls over.

37. Body here means the positions, postures, and movements of the body.

38. The causes of the appearing and the dissolution of the body here and in subsequent sections are the existence or non-existence of ignorance of the Four Noble Truths, craving, kamma, and nutriment.

39. Clear understanding (sampajanna) is of four types: satthaka-sampajanna, sappaya-sampajanna, gocara-sampajanna and asammoha-sampajanna.
Before a meditator does any action he should first consider whether that action is or is not a beneficial action. This prior consideration is called satthaka-sampajanna.
If it is a beneficial action then the meditator should next consider whether it is suitable or proper. This is called sappaya-sampajanna. For example, if the meditator wishes to go to a pagoda to meditate this is a beneficial action. However, if at the time he wishes to go to the pagoda there is a large crowd gathered for a pagoda festival and there would be many disturbances because of that, then it would not be suitable.
The understanding of the proper field for the mind is gocara-sampajanna. If the meditator is practising the four satipatthanas this is the proper field for the mind. If he is thinking about or indulging in sense pleasures this is not the proper field for the mind.
The understanding that sees that all conditioned phenomena are impermanent and unsatisfactory and that sees all phenomena (including Nibbana) are not-self is asammoha-sampajanna.

40. This meditation can be practised in either of two ways. The first way is to see each part as repulsive and the second way is to see that as parts or collectively the body is not-self.
To develop the perception of the repulsiveness of the body it is very helpful to view an autopsy of a corpse as this will make it easier to truly see that each part is repulsive. This method of meditation is very effective for cutting out lust.
To develop the perception of not-self the meditator should reflect on each part and see that they are devoid of consciousness e.g. the hair on the head does not know it has hair growing on it; what is it that thinks "This is my hair"? By meditating in this way the meditator will clearly see the difference between the mind and the body. Also he will see for himself that it is deluded to view the body as me, as mine or as self.

41. Only primary elements (dhatu) and no being or soul.

42. The primary elements (dhatu) are the natural qualities of matter. The earth element (pathavi-dhatu) is the quality of hardness and softness or the degree of solidity. The water element (apo-dhatu) is the quality of fluidity and cohesion. The fire element (tejo-dhatu) is the quality of heat and cold. The air element (vayo-dhatu) is the quality of motion, vibration and support.
All four primary elements are present in any given substance but one is more prominent. The quality of hardness and softness is called earth element because that is the prominent quality of earth, but, earth also has the qualities of cohesion, heat and motion. The parts from the hair of the head up to the brain, in the Patikulamanasika Pabba, are examples of bodily parts in which the earth element is prominent. The parts from bile up to urine are examples in which the water element is prominent. Heat and cold in the body are examples of the fire element. The breath is an example of the wind element.

43. In this simile the four high roads represent the four postures. The butcher or his apprentice represents a meditator who sees the body as only elements, just as the cow having been divided is no longer seen as a cow but is seen only as meat.

44. The meditations based on corpses are best done while or after actually seeing a corpse. By seeing the reality that the body will one day be a corpse too, the mind becomes free from attachment to the body.

45. Vedana (feelings) is not used here in the sense of "emotions", but refers only to the pleasant, the unpleasant, and the neither pleasant nor unpleasant feelings that arise, only one at a time, with every consciousness, (i.e eye-consciousness, ear-consciousness, nose-consciousness, tongue-…, body?…, and mind-consciousness). It is important to see these feelings clearly as they are the cause of craving. Also, if the meditator does not see these clearly then he may think that there is a being experiencing feeling.

46. E.g., bodily comfort and mental happiness.

47. E.g., bodily pain and mental pain.

48. Neither pleasant nor unpleasant feeling is the hardest to perceive as its characteristic is the absence of pleasure and pain. E.g., the neutral feeling that is normally present on the surface of the eye and the feeling in the mind when it is neither happy nor unhappy.

49. E.g., the normal type of pleasure and happiness based on sense pleasures.

50. E.g., the happiness experienced while seeing the true nature of body and mind.

51. E.g., the unpleasant feeling experienced when one does not obtain the sense pleasures one wants to obtain.

52. E.g., the unhappiness experienced by a meditator reflecting on his lack of progress towards realizing Nibbana.

53. E.g., the neutral feeling experienced when the mind is calm and detached from sense pleasures.

54. The causes of the appearing and the dissolution of feelings are the existence or non-existence of contact (phassa), ignorance of the Four Noble Truths, craving and kamma.

55. Greed (raga) does not just mean strong passion but refers to the whole range of lust, craving, and attachment to sense pleasures from the weakest sensual desire to the strongest lust. It can produce only unwholesome actions.

56. The mind without greed is the wholesome opposite of greed and is the cause of renunciation, generosity, charity, and giving.

57. Anger (dosa) always occurs together with mental pain (domanassa). Therefore, if mental pain is present the meditator should know that anger is also present. Aversion, ill-will, frustration, fear, and sadness are all included in this term. Anger can produce only unwholesome actions.

58. The mind without anger is the wholesome opposite of anger and is the cause of loving-kindness (metta), friendliness, and goodwill.

59. Delusion (moha) is the mental concomitant that clouds and blinds the mind making it unable to discern between right and wrong actions, unable to perceive the characteristics of impermanence, unsatisfactoriness, and soullessness, and unable to perceive the Four Noble Truths. It is common to all unwholesome types of consciousness but here it refers specifically to those types of consciousness associated with doubt, uncertainty, restlessness, distraction, and confusion.

60. The mind without delusion is the wholesome opposite of delusion. It is the wisdom that perceives the impermanent, unsatisfactory and soulless nature of conditioned phenomena, perceives the Four Noble Truths, and is able to discern between right and wrong actions.
Greed, anger, delusion and their opposites all have a wide range of intensity from weak to strong. In insight meditation it is important to be aware of whatever is present in the mind no matter how weak or strong it appears to be.

61. This is the shrunken mind that is lethargic, indolent, and lacks interest in anything.

62. A diffused, restless state of mind that goes here and there is therefore not concentrated.

63. The type of mind experienced in the råpa jhanas and aråpa jhanas.

64. The mind as generally found in the sensuous (kamavacara) realms (i.e. without jhanas).

65. As above (Note 64.)

66. The rupa jhanas and arupa jhanas. Amongst these two the aråpa jhanas are superior to the råpa jhanas.

67. The mind with either proximate concentration (upacara samadhi) or absorption concentration (appana samadhi). A meditator who has no experience of jhana will not need to be mindful of the concentrated mind, the superior mind or the developed mind.

68. The mind without proximate or absorption concentration.

69. The mind temporarily free from defilements due to insight or jhana. There are ten defilements (kilesa), namely: greed, anger, delusion, conceit, wrong views, doubt, sloth, distraction, lack of moral shame, lack of moral dread (lobho, doso, moho, mano, ditthi, vicikiccha, thinam, uddhacam, ahirikam, anottapam).

70. The causes of the appearing and the dissolution of the mind are the existence or non-existence of ignorance of the Four Noble Truths, craving, kamma, body and mind (nama and råpa).

71. The five hindrances are unwholesome mental concomitants that confuse the mind and obstruct it from achieving wholesome states such as insight or jhana.

72. Sense desire is the craving for any of the five types of sense-objects (i.e. sights, sounds, smells, tastes and tactile objects). It arises due to unwise attention to the pleasant aspect of an object. It is discarded due to the wise attention to the perception of either impermanence, unsatisfactoriness or soullessness or to the unpleasant aspect of an object. It is totally eradicated by the path of an Anagami (anagami magga).

73. Ill-will is the same as anger (see Note 57). It arises due to the unwise attention to the unpleasant aspect of an object. It is discarded due to wise attention to the perception of either impermanence, unsatisfactoriness, or soullessness or to the development of loving-kindness. It is totally eradicated by the path of Anagami.

74. Sloth and torpor refer to the state of indolence, dullness of mind and dullness of mental concomitants. They arise due to unwise attention to lack of interest, lazy stretching of the body, drowsiness after meals, and mental sluggishness. They are mental concomitants and do not refer to physical tiredness. They are discarded due to wise attention to the perception of either impermanence, unsatisfactoriness, or soullessness or to the development of energy and exertion. They are totally eradicated by the path of an Arahat (arahatta magga).

75. Distraction (uddhacca) refers to the agitated, restless, and unconcentrated mind. Worry (kukkucca) refers to worrying about past actions that one has or has not done. They arise due to unwise attention to the things that cause distraction and worry. They are discarded by wise attention to the perception of either impermanence, unsatisfactoriness, or soullessness or to the development of calmness of mind. Distraction is totally eradicated by the path of an Arahat. Worry is totally eradicated by the path of an Anagami.

76. Doubt or wavering refers to doubts such as "Is the Buddha really fully enlightened?"; "Does this practice really lead to the cessation of dukkha?"; "Have the disciples of the Buddha really attained enlightenment by this practice?"; "Is there a future life?"; Was there a past life?". Doubt or wavering arises due to unwise attention to things that cause doubt. It is discarded due to wise attention to the perception of either impermanence, unsatisfacturiness, or soullessness or to the Dhamma. It is totally eradicated by the path of a Sotapanna or Streamwinner (sotapatti magga).

77. The cause of the appearing of the hindrances is unwise attention (ayoniso manasikara). To cause of the dissolution of the hindrances is wise attention which removes them temporarily and the Four Noble Paths (ariyamagga) which permanently discards them (See also Notes 71 to 76).

78. The five aggregates of clinging are the objects depending on which the four types of clinging arise. The four types of clinging are the clinging to sense pleasures, the clinging to wrong views, the clinging to the belief that there are other paths and practices that can lead to happiness and liberation besides the Eightfold Noble Path, and the clinging to the view that there is a Self or Soul.

79. The word råpa refers to everything made of the four primary elements (i.e. the earth element, the water element, the fire element, and the air element). But here it refers mostly to the corporeal body which arises together with the remaining four aggregates of clinging.
Feeling is described in Note 45.
Perception recognizes or perceives an object by means of a mark. It enables one to recognize colours such as blue, white or red. It can also wrongly recognize a rope as a snake.
Mental formations include faith, energy, intention, greed, hatred, delusion, non-greed, non-hatred, non-delusion, and mindfulness which prepare, arrange, or accomplish actions. There are fifty mental formations.
Consciousness is that which is aware of an object. Here it refers only to sensuous, råpa and aråpa types of consciousness and does not include path or fruition consciousness (magga-phala citta) which are not objects of clinging.

80. For the causes of the appearing and the dissolution of the corporeal body see Note 38; of feelings, perception and mental formations see Note 54; and of consciousness see Note 70.

81. Sense bases are those things which extend and expand the range of the mind. The six internal sense bases are the eye, ear, nose, tongue, body and mind. The six external sense bases are sights, sounds, smells, tastes, tactile objects and mental objects.

82. The fetters (samyojana) are those things which bind one to the rounds of rebirth. They are: 1. craving for sense pleasures (kamaraga); 2. anger (patigha), 3. pride or conceit (mana), 4. wrong view (ditthi) 5. doubt or wavering (vicikiccha), 6. the belief that there are other paths and practices that can lead to happiness and liberation besides the Eightfold Noble Path (silabbataparamasa), 7. craving for rebirth in the sensuous, råpa or aråpa worlds (bhavaraga), 8. envy or jealousy (issa), 9. meanness or stinginess (macchariya), 10. ignorance of the Four Noble Truths (avijja).
These fetters arise due to unwise attention which regards the sense bases as permanent, satisfactory and as Self or belonging to a Self. They are discarded temporarily by wise attention to the impermanent, unsatisfactory, and soulless characteristics of the sense bases. They are totally discarded by the four Noble Paths (i.e ditthi, vicikiccha, silabbataparamasa, issa, and macchariya by sotapatti magga; kamaraga and patigha by anagami magga; and the remaining fetters by arahatta magga).

83. For the causes of the appearing and dissolution of the physical sense bases see Note 38; of the mind see Note 70; and of mental objects see Note 54.

84. Mindfulness is that which watches what is occurring at the present moment in the body and mind. (Also see Note 11).

85. All the factors of enlightenment arise due to wise attention and come to complete development due to the path of an Arahat (arahatta magga).

86. This is the wisdom or insight that can differentiate the corporeal body and the mind and perceives both as impermanent, unsatisfactory and not-self.

87. This is the balanced mental effort that is generated while being mindful.

88. This is the interest and lack of boredom that arises due to seeing things as they really are. It is often associated with a feeling of lightness, lifting of the body or a thrill of joy that can make the hair on the body stand up.

89. With the arising of rapture the mind becomes calm and peaceful. This is called tranquility.

90. With the arising of tranquility the mind is not distracted and no longer wanders here and there but is aware of each object that appears in the mind. This is concentration.

91. With the arising of concentration the mind sees each object in a detached and calm way. It feels neither aversion to pain nor is overpowered by pleasure but it is calmly and effortlessly observant of the impermanence, unsatisfactoriness or soullessness of every constituent of body and mind. This is called equanimity.

92. The cause of the appearing of the seven factors of enlightenment is wise attention (yoniso-manasikara) which views phenomena as impermanent, unsatisfactory and not-self. The cause of the dissolution of the seven factors of enlightenment is unwise attention (ayoniso-manasikara) which views phenomena as permanent, satisfactory and as a soul or self.

93. Birth (jati) refers to both birth and repeated rebirth.

94. Here dukkha does not just refer to painful feelings but has a wide range of meaning. Birth, ageing and death are dukkha because they are painful. Pleasant feelings are dukkha because they are subject to change. The rest of the five aggregates of clinging are dukkha because they are oppressed by ceaseless arising and dissolution.

95. Sorrow, lamentation and anguish are different intensities of mental pain that arise due to loss or painful states such as loss of a good reputation, the passing away of relatives or the loss of possessions through fire, flood, or theft. Sorrow is the weakest and is felt internally with little outward expression. Lamentation is more intense and results in outbursts of wailing and crying. Anguish is the most intense and although one cries and wails there is still deep inexpressible pain that makes one look exhausted and hopeless.

96. These things cannot be gained by wishing or prayer. They can only be gained by attaining the Noble Paths.

97. The craving for pleasurable sights, sounds, smells, tastes and tactile objects is kamatanha. The craving to be born in any sensual; rupa or arupa worlds, and the attachment to rupa or arupa jhanas, and the craving associated with the belief in an eternal and indestructible Self or Soul are all included in the term bhavatanha. The craving that associated with the wrong view that at death one is annihilated and hence that there is no rebirth or results of good or bad actions is vibhavatanha.

98. The word establishes (nivisati) has two aspects. Firstly, the craving arises at that place and secondly because of happening again and again it establishes itself there so that it arises habitually whenever the same object is met or thought about.

99. The world (loka) refers to the five aggregates of clinging.

100. Contact (phassa) refers not to the contact of an object with the body but to the contact of an object with the mind. Thus, when an object, a sense base and consciousness appear together it is called contact.

101. Volition (cetana) is the mental concomitant that causes actions of body, speech, and mind.

102. Initial thinking (vitakka) searches for, introduces, and moves towards a new sensual object. Continued thinking (vicara) stays with the same object and repeatedly thinks about, ponders, and examines that object in greater detail. They have different meanings when they are associated with the jhanas, which are all free from craving.

103. It is important to note that craving arises and is discarded in the same place and that craving is removed by mindfully observing each object as it arises at one of the six sense doors and not by mere intellectual understanding.

104. Right View (samma ditthi) develops through several stages. At first one understands that good actions produce good results, and that bad actions produce bad results. Next, one understands the impermanent, unsatisfactory and soulless nature of conditioned phenomena which deepens the understanding of cause and effect so that only cause and effect are seen. The last stage is to understand the Four Noble Truths and to see that if the cause (craving) ceases the result (dukkha) will also cease.

105. If one has Right View then depending on that Right Thought (samma sankappa) will arise. Also if one has Right Thought then Right Speech (samma vaca) and Right Action (samma kammanta) will arise because one's actions are dependent on one's thoughts.

106. Tale bearing refers to taking stories from one person to another in order to create a split between those two people and also to make oneself liked by the second person, e.g. person A hears person B saying bad things about person C. Then A goes to C and tells him what B has said in order to create discord between B and C and to make C like A.

107. This refers to idle chatter or gossip that is of no benefit to anyone. Nowadays it is worth considering if this applies to reading and writing certain types of books.

108. Only the intentional killing of living beings is meant here and not unintentional killing such as accidentally stepping on an insect. Something is called a living being if it possesses consciousness and does not include plants, bacteria, amoebae, and viruses which according to Buddhism are without consciousness.

109. Stealing does not just mean simple theft but also inrcludes smuggling, tax evasion, and using false weights or measures.

110. This refers to sexual misconduct (i.e. adultery, rape), drinking alcohol, and taking drugs.

111. This refers to obtaining one's livelihood by wrong speech or wrong action. It includes trading in weapons, in animals for slaughter, in slaves, in liquor, in drugs, and in poisons.

112. The word jhana comes from the root jha = to stare. Here it is used to refer to a degree of concentration in which the mind stares at an object with such concentration that one is unaware of sights, sounds, smells, tastes, or tactile objects. There are four types of jhanas mentioned here which are characterized or differentiated by the mental concomitants present in each. As mental concomitants of jhana, vitakka and vicara refer to the initial and sustained application of the mind to a single object. Just like a man first puts his hand on a shaking object and then keeps his hand on the shaking object, vitakka puts the mind on the object and vicara keeps the mind there. At this stage the mind is still not perfectly calm. In the second jhana the mind is so still that it stays on one object without any vitakka and vicara. Rapture (piti) is the same as the enlightenment factor of rapture (see Note 88). Sukha refers to ease and comfort of body and mind.

113. The Buddha and his enlightened disciples are Noble Ones (ariya).

114. The causes of the appearing of dukkha are ignorance of the Four Noble Truths, craving and kamma. The cause of the dissolution of dukkha is the Eightfold Noble Path. The cause of the appearing of craving is Feeling. The cause of the dissolution of craving is the Eightfold Noble Path. The cessation of dukkha, which is Nibbana, has no arising or passing away and is therefore not included here.
The path leading to the cessation of dukkha is of two kinds: supramundane (lokuttara) and mundane (lokiya). Both appear due to the four factors of stream entry. (i.e. associating with virtuous men, hearing the true Dhamma, wisely considering the Dhammas one has heard, and practising in accordance with that Dhamma). The lokuttara path cannot pass away once it has been attained but the lokiya path can pass away due to not wisely considering the Dhamma one has heard and not practising in accordance with that Dhamma.

115. An Anagami is an enlightened individual who has eradicated ditthi, vicikiccha, silabbataparamasa, issa, macchariya, kamaraga and patigha (see Note 82) and consequently at death will be reborn in the Pure Abode (Suddhavasa) where he will attain Arahatship. He is called a Non-returner because he will never be reborn again in the sensuous realm (kamaloka). This last section is meant to encourage the meditator with the knowledge that if he practises in a really diligent and consistent way in accordance with this sutta he can expect to attain the total eradication of greed, hatred and delusion, in this very life.
Sadhu! Sadhu! Sadhu!
U Jotika and U Dhamminda
Migadavun Monastery
Ye Chan Oh Village
Maymyo, Burma