One Only Way

Bhikkhus, this is the one and the only way
for the purification (of the minds) of beings,
for overcoming sorrow and lamentation,
for the cessation of physical and mental pain,
for attainment of the Noble Path.
and for the realization of Nibbana .
That (only way) is the four satipatthanas .
Powered By Blogger

คำนำ

One Only Way เป็น Blog เพื่อการเรียนรู้ มหาสติปัฏฐานสูตร

ผู้เรียบเรียงได้นำมหาสติปัฏฐานสูตร จากพระไตรปิฎกฉบับสยามรัฐ มาจัดย่อหน้า วรรคตอนใหม่ เพื่อให้สามารถอ่าน ทำความเข้าใจและจดจำได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ได้นำฉบับแปลภาษาอังกฤษและภาษาฝรั่งเศส มาเทียบเคียงกับภาษาไทย เพื่อเพิ่มความเข้าใจ ท่านที่เคยอ่านสูตรนี้ โปรดดูและพิจารณาโครงสร้างของมหาสติปัฏฐานสูตรด้วย
ผู้เรียบเรียงขอกราบนมัสการด้วยความเคารพและระลึกในพระคุณของท่านผู้แปลทุกท่าน
ขอขอบพระคุณในทุกความเห็น คำแนะนำ และการชี้ข้อผิดพลาดที่มีอยู่ ทั้งนี้เพื่อนำมาเป็นข้อมูลสำคัญในการปรับปรุงแก้ไข และเป็นประโยชน์ในการร่วมกันเรียนรู้มหาสติปัฏฐานสูตรตลอดไป


________________________________________________
Powered By Blogger

ทำไมมนุษย์ทุกคนควรเรียนรู้ มหาสติปัฏฐานสูตร ?

  • มหาสติปัฏฐานสูตร เป็นหนทางเดียวเท่านั้นที่จักนำตน พ้นจากความชั่ว ไปสู่ความดี และมีใจผ่องใสในท่ีีสุด พระพุทธองค๋ได้ทรงแสดงไว้อย่างชัดเจน ตั้งแต่วัตถุประสงค์ เป้าหมาบ วิธีการ และผลท่ีจะได้รับ ในกำหนดเวลาน้อยที่สุดเพียง 7 วัน เท่านั้น
  • " ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ วัน เขาพึงหวังผล ๒ ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
  • พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑
  • จากข้อ [๓๐๐] มหาสติปัฏฐานสูตร พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๐.
  • ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า " ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้อที่เต่าตาบอด ต่อล่วงร้อยปีๆ มันจะโผล่ขึ้นคราวหนึ่งๆ จะสอดคอเข้าไปในแอกซึ่งมีช่องเดียวโน้นเป็นของยาก."
  • พระผู้มีพระภาค " ฉันนั้นภิกษุทั้งหลาย การได้ความเป็นมนุษย์เป็นของยาก พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าจะอุบัติในโลกเป็นของยาก ธรรมวินัยที่พระตถาคตประกาศแล้วจะรุ่งเรืองในโลกก็เป็นของยาก
  • ความเป็นมนุษย์นี้เขาได้แล้ว พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าอุบัติแล้วในโลก และธรรมวินัยที่ตถาคตประกาศแล้วก็รุ่งเรืองอยู่ในโลก
  • ดูกรภิกษุทั้งหลาย เพราะฉะนั้นแหละเธอทั้งหลายพึงกระทำความเพียรเพื่อรู้ตามความเป็นจริงว่า นี้ทุกข์ นี้ทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา
  • จาก ข้อ[๑๗๔๔] ว่าด้วยการได้ความเป็นมนุษย์ยาก พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๙ สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค

การได้ความเป็นมนุษย์ยาก

การได้ความเป็นมนุษย์ยาก
โปรดคลิกที่รูป

เรามีเวลาเหลือ

หากเรามีชีวิตอยู่ถึงวันพรุ่งนี้ เรามีเวลาเหลือ




ชีวิตนั้นสั้นนักหนา สิ้นสุดได้ทุกขณะ มรณะมาเมื่อใดมิรู้ได้

Powered By Blogger

ความเร็วจิต

  • ลัดนิ้วมือเดียว จิตเกิดดับ แสนโกฏิขณะ ( 1 โกฏิ = 10 ล้าน)
  • ลัดนิ้วมือเดียว ระยะประมาณ 9 ซม. กินเวลาประมาณ 1 วินาที
  • แสนโกฏิ = 1,000,000,000,000 ( 1 ล้าน ล้าน )
  • 1 GHz = 1,000,000,000 Hz = 1,000 MHz
  • ความเร็วจิต = 1,000 GHz
  • เครื่องคอมพืวเตอร์ที่ใช้กันอยู่มีความเร็วท่ีสุด 3 GHz
  • ความเร็วแสง = 300,000  กม./ วินาที
  • ความเร็วจิต = 90,000,000  กม./ วินาที
  • เร็วกว่าแสง 300 เท่า [ ผิดถูก ท่านผู้รู้ โปรดพิสูจน์ด้วย ]

21 มิถุนายน 2550

มหาสติปัฏฐานสูตร




๙. มหาสติปัฏฐานสูตร (๒๒)

พระไตรปิฏก ฉบับสยามรัฐ เล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค
หน้าที่ ๒๕๗ - ๒๗๗.

[๒๗๓] ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ในกุรุชนบท มีนิคมของชาวกุรุ ชื่อว่ากัมมาสทัมมะ
ณ ที่นั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธภาษิตนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย

หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก

เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์

เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ

เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส

เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง

เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ


๔ ประการ เป็นไฉน

ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้

พิจารณาเห็นกายในกายอยู่

มีความเพียร

มีสัมปชัญญะ

มีสติ

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่

มีความเพียร

มีสัมปชัญญะ

มีสติ

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่

มีความเพียร

มีสัมปชัญญะ

มีสติ

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

มีความเพียร

มีสัมปชัญญะ

มีสติ

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ


จบอุทเทสวารกถา



[๒๗๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นกายในกายอยู่อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ไปสู่ป่าก็ดี ไปสู่โคนไม้ก็ดี ไปสู่เรือนว่างก็ดี
นั่งคู้บัลลังก์ ตั้งกายตรง ดำรงสติไว้เฉพาะหน้า
เธอมีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก

เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว

เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก


ดูกรภิกษุทั้งหลาย นายช่างกลึงหรือลูกมือของนายช่างกลึงผู้ขยัน
เมื่อชักเชือกกลึงยาว ก็รู้ชัดว่า เราชักยาว
เมื่อชักเชือกกลึงสั้น ก็รู้ชัดว่า เราชักสั้น

แม้ฉันใด ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน

เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้ายาว
เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกยาว

เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจเข้าสั้น
เมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า เราหายใจออกสั้น

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้กำหนดรู้ตลอดกองลมหายใจทั้งปวง หายใจออก

ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจเข้า
ย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับกายสังขาร หายใจออก


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ

จบอานาปานบรรพ



[๒๗๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุ

เมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน

เมื่อยืน ก็รู้ชัดว่าเรายืน

เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่าเรานั่ง

เมื่อนอนก็รู้ชัดว่าเรานอน หรือ

เธอตั้งกายไว้ด้วยอาการอย่างใดๆ ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลายอย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ

จบอิริยาปถบรรพ




[๒๗๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุย่อมทำความรู้สึกตัว

ในการก้าว ในการถอย

ในการแล ในการเหลียว

ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก

ในการทรงผ้าสังฆาฏิบาตรและจีวร

ในการฉัน การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม

ในการถ่ายอุจจาระและปัสสาวะ


ย่อมทำความรู้สึกตัว

ในการเดิน การยืน การนั่ง การหลับ การตื่น

การพูด การนิ่ง


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ

จบสัมปชัญญบรรพ




[๒๗๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ

แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด
มีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อ ในกระดูก

ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า

ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร


ดูกรภิกษุทั้งหลาย เปรียบเหมือนไถ้มีปากสองข้าง

เต็มด้วยธัญชาติต่างชนิด คือ

ข้าวสาลี ข้าวเปลือก ถั่วเขียว ถั่วเหลือง งา ข้าวสาร


บุรุษผู้มีนัยน์ตาดีแก้ไถ้นั้นแล้ว พึงเห็นได้ว่า

นี้ข้าวสาลี นี้ข้าวเปลือก นี้ถั่วเขียว นี้ถั่วเหลือง นี้งา นี้ข้าวสาร ฉันใด


ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ

แต่พื้นเท้าขึ้นไป แต่ปลายผมลงมา มีหนังเป็นที่สุดรอบ เต็มด้วยของไม่สะอาด
มีประการต่างๆ ว่า มีอยู่ในกายนี้

ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง

เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อ ในกระดูก

ม้าม หัวใจ ตับ ผังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้ทบ อาหารใหม่ อาหารเก่า

ดี เสลด หนอง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ

จบปฏิกูลมนสิการบรรพ




[๒๗๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ

ซึ่งตั้งอยู่ตามที่ ตั้งอยู่ตามปรกติ โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้

ธาตุดิน

ธาตุน้ำ

ธาตุไฟ

ธาตุลม


คนฆ่าโคหรือลูกมือของคนฆ่าโคผู้ขยัน

ฆ่าโคแล้ว แบ่งออกเป็นส่วน

นั่งอยู่ที่หนทางใหญ่สี่แพร่ง ฉันใด

ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกัน ย่อมพิจารณาเห็นกายนี้แหละ

ซึ่งตั้งอยู่ตามท ี่ ตั้งอยู่ตามปรกต ิ โดยความเป็นธาตุว่า มีอยู่ในกายนี้

ธาตุดิน

ธาตุน้ำ

ธาตุไฟ

ธาตุลม


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ

จบธาตุมนสิการบรรพ




[๒๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็น สรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

ตายแล้ววันหนึ่งบ้าง สองวันบ้าง สามวันบ้าง
ที่ขึ้นพอง มีสีเขียวน่าเกลียด มีน้ำเหลืองไหลน่าเกลียด


เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา

คงเป็นอย่างนี้

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ


[๒๘๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็น สรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

อันฝูงกาจิกกินอยู่บ้าง ฝูงนกตะกรุมจิกกินอยู่บ้าง ฝูงแร้งจิกกินอยู่บ้าง
หมู่สุนัขกัดกินอยู่บ้าง หมู่สุนัขจิ้งจอกกัดกินอยู่บ้าง หมู่สัตว์ตัวเล็กๆต่างๆ กัดกินอยู่บ้าง


เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา

คงเป็นอย่างนี้

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ


[๒๘๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็น สรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

เป็นร่างกระดูก ยังมีเนื้อและเลือด ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่


เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา

คงเป็นอย่างนี้

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ


[๒๘๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็น สรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

เป็นร่างกระดูก ปราศจากเนื้อ
แต่ยังเปื้อนเลือด
ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่


เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา

คงเป็นอย่างนี้

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ


[๒๘๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็น สรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า

เป็นร่างกระดูก
ปราศจากเนื้อและเลือดแล้ว
ยังมีเส้นเอ็นผูกรัดอยู่


เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา

คงเป็นอย่างนี้

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ


[๒๘๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็น สรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ

เป็นกระดูก ปราศจากเส้นเอ็นผูกรัดแล้ว
เรี่ยรายไปในทิศใหญ่ทิศน้อย คือ
กระดูกมือไปทางหนึ่ง กระดูกเท้าไปทางหนึ่ง กระดูกแข้งไปทางหนึ่ง
กระดูกขาไปทางหนึ่ง กระดูกสะเอวไปทางหนึ่ง กระดูกหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสันหลังไปทางหนึ่ง กระดูกสีข้างไปทางหนึ่ง กระดูกหน้าอกไปทางหนึ่ง กระดูกไหล่ไปทางหนึ่ง กระดูกแขนไปทางหนึ่ง กระดูกคอไปทางหนึ่ง กระดูกคางไปทางหนึ่ง กระดูกฟันไปทางหนึ่ง กระโหลกศีรษะไปทางหนึ่ง


เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา

คงเป็นอย่างนี้

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ


[๒๘๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็น สรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ

เป็นกระดูกมีสีขาว เปรียบด้วยสีสังข์


เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา

คงเป็นอย่างนี้

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ


[๒๘๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็น สรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ

เป็นกระดูกกองเรียงรายอยู่
แล้วเกินปีหนึ่งขึ้นไป


เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา

คงเป็นอย่างนี้

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ


[๒๘๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุเหมือนกะว่าพึงเห็น สรีระที่เขาทิ้งไว้ในป่าช้า คือ

เป็นกระดูกผุ เป็นจุณแล้ว


เธอย่อมน้อมเข้ามาสู่กายนี้แหละว่า ถึงร่างกายอันนี้เล่า

ก็มีอย่างนี้เป็นธรรมดา

คงเป็นอย่างนี้

ไม่ล่วงความเป็นอย่างนี้ไปได้


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น กายในกาย ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในกายบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในกายบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า กายมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ฯ

จบนวสีวถิกาบรรพ


จบกายานุปัสสนา




[๒๘๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้


เสวย สุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนา หรือ

เสวย ทุกขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา หรือ

เสวย อทุกขมสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนา หรือ


เสวย สุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนามีอามิส หรือ

เสวย สุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาไม่มีอามิส หรือ


เสวย ทุกขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนามีอามิส หรือ

เสวย ทุกขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนาไม่มีอามิส หรือ


เสวย อทุกขมสุขเวทนามีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนามีอามิส หรือ

เสวย อทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาไม่มีอามิส


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม

พิจารณาเห็น เวทนาในเวทนา ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น เวทนาในเวทนา ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น เวทนาในเวทนา ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในเวทนาบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในเวทนาบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในเวทนาบ้าง


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า เวทนามีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็น เวทนาในเวทนาอยู่ ฯ

จบเวทนานุปัสสนา





[๒๘๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่อย่างไรเล่า


ภิกษุในธรรมวินัยนี้


จิตมีราคะ ก็รู้ว่า จิตมีราคะ หรือ

จิตปราศจากราคะ ก็รู้ว่า จิตปราศจากราคะ


จิตมีโทสะ ก็รู้ว่า จิตมีโทสะ หรือ

จิตปราศจากโทสะ ก็รู้ว่า จิตปราศจากโทสะ


จิตมีโมหะ ก็รู้ว่า จิตมีโมหะ หรือ

จิตปราศจากโมหะ ก็รู้ว่า จิตปราศจากโมหะ


จิตหดหู่ ก็รู้ว่า จิตหดหู่


จิตฟุ้งซ่าน ก็รู้ว่า จิตฟุ้งซ่าน


จิตเป็นมหรคต ก็รู้ว่า จิตเป็นมหรคต หรือ

จิตไม่เป็นมหรคต ก็รู้ว่า จิตไม่เป็นมหรคต


จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่า จิตมีจิตอื่นยิ่งกว่า หรือ

จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า ก็รู้ว่า จิตไม่มีจิตอื่นยิ่งกว่า


จิตเป็นสมาธิ ก็รู้ว่า จิตเป็นสมาธิ หรือ

จิตไม่เป็นสมาธิ ก็รู้ว่า จิตไม่เป็นสมาธิ


จิตหลุดพ้น ก็รู้ว่า จิตหลุดพ้น หรือ

จิตไม่หลุดพ้น ก็รู้ว่า จิตไม่หลุดพ้น


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม


พิจารณาเห็น จิตในจิต ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น จิตในจิต ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น จิตในจิต ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในจิตบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในจิตบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในจิตบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า จิตมีอยู่

ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆ ในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯ

จบจิตตานุปัสสนา





[๒๙๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้


เมื่อ กามฉันท์ มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท์ มีอยู่ ณ ภายในจิต ของเรา หรือ

เมื่อ กามฉันท์ ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า กามฉันท ์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ของเรา

อนึ่ง

กามฉันท์ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

กามฉันท์ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

กามฉันท์ ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย



อีกอย่างหนึ่ง


เมื่อ พยาบาท มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาท มีอยู่ ณ ภายในจิต ของเรา หรือ

เมื่อ พยาบาท ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า พยาบาท ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ของเรา

อนึ่ง

พยาบาท ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

พยาบาท ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

พยาบาท ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


อีกอย่างหนึ่ง


เมื่อ ถีนมิทธะ มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ถีนมิทธะ มีอยู่ ณ ภายในจิต ของเรา หรือ

เมื่อ ถีนมิทธะ ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ถีนมิทธะ ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต ของเรา

อนึ่ง

ถีนมิทธะ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ถีนมิทธะ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ถีนมิทธะ ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


อีกอย่างหนึ่ง


เมื่อ อุทธัจจกุกกุจจะ มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะ มีอยู่ ณ ภายในจิต ของเรา หรือ

เมื่อ อุทธัจจกุกกุจจะ ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า อุทธัจจกุกกุจจะ ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง

อุทธัจจกุกกุจจะ ที่ยังไม่เกิดจะเกิด ขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย
อุทธัจจกุกกุจจะ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

อุทธัจจกุกกุจจะ ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


อีกอย่างหนึ่ง


เมื่อ วิจิกิจฉา มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉา มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ

เมื่อ วิจิกิจฉา ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า วิจิกิจฉา ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง

วิจิกิจฉา ที่ ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

วิจิกิจฉา ที่ เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

วิจิกิจฉา ที่ ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม


พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในธรรมบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่


ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ นิวรณ์ ๕ อยู่ ฯ

จบนีวรณบรรพ





[๒๙๑] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อุปาทานขันธ์ ๕

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ พิจารณาเห็นดังนี้ว่า

อย่างนี้รูป
อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งรูป
อย่างนี้ความดับแห่งรูป

อย่างนี้เวทนา
อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งเวทนา
อย่างนี้ความดับแห่งเวทนา

อย่างนี้สัญญา
อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสัญญา
อย่างนี้ความดับแห่งสัญญา

อย่างนี้สังขาร
อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งสังขาร
อย่างนี้ความดับแห่งสังขาร

อย่างนี้วิญญาณ
อย่างนี้ความเกิดขึ้นแห่งวิญญาณ
อย่างนี้ความดับแห่งวิญญาณ


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม


พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในธรรมบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่


ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อุปาทานขันธ์ ๕ อยู่ ฯ

จบขันธบรรพ




[๒๙๒] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคืออายตนะภายในและภายนอก ๖ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อม

รู้จักนัยน์ตา

รู้จักรูป และ

รู้จักนัยน์ตาและรูปทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์

อนึ่ง

สังโยชน์ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


ภิกษุย่อม

รู้จักหู

รู้จักเสียง และ

รู้จักหู รู้จักเสียง ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์

อนึ่ง

สังโยชน์ ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


ภิกษุย่อม

รู้จักจมูก

รู้จักกลิ่น และ

รู้จักจมูก รู้จักกลิ่น ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์

อนึ่ง

สังโยชน์ที่ยังไม่เกิด จะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชนที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ที่ละได้แล้ว จะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


ภิกษุย่อม

รู้จักลิ้น

รู้จักรส และ

รู้จักลิ้น รู้จักรส ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์

อนึ่ง

สังโยชน์ ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


ภิกษุย่อม

รู้จักกาย

รู้จักสิ่งที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย และ

รู้จักกาย รู้จักสิ่งที่จะพึงถูกต้องด้วยกาย ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์

อนึ่ง

สังโยชน์ ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


ภิกษุย่อม

รู้จักใจ

รู้จักธรรมารมณ์ และ

รู้จักใจและธรรมารมณ์ทั้ง ๒ นั้น อันเป็นที่อาศัยบังเกิดของสังโยชน์

อนึ่ง

สังโยชน์ ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ ที่เกิดขึ้นแล้ว จะละเสียได้ด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สังโยชน์ ที่ละได้แล้วจะไม่เกิดขึ้นต่อไปด้วยประการใด ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม


พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในธรรมบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่


ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อายตนะภายในและภายนอก ๖ อยู่ ฯ

จบอายตนบรรพ




[๒๙๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ โพชฌงค์ ๗

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรมคือโพชฌงค์ ๗ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

เมื่อสติสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ

เมื่อสติสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า สติสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง
สติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สติสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ

เมื่อธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง
ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อวิริยสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ

เมื่อวิริยสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า วิริยสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง
วิริยสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

วิริยสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อปีติสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ปีติสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ

เมื่อปีติสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ปีติสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง
ปีติสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ปีติสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ

เมื่อปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง
ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


อีกอย่างหนึ่ง

เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ

เมื่อสมาธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า สมาธิสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง
สมาธิสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

สมาธิสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


อีกอย่างหนึ่ง

เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา หรือ

เมื่ออุเบกขาสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิต
ย่อมรู้ชัดว่า อุเบกขาสัมโพชฌงค์ไม่มีอยู่ ณ ภายในจิตของเรา

อนึ่ง
อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่ยังไม่เกิดจะเกิดขึ้นด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย

อุเบกขาสัมโพชฌงค์ที่เกิดขึ้นแล้ว จะเจริญบริบูรณ์ด้วยประการใด
ย่อมรู้ชัดประการนั้นด้วย


ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม


พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในธรรมบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่


ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ โพชฌงค์ ๗ อยู่ ฯ

จบโพชฌงคบรรพ



จบภาณวารที่หนึ่ง




[๒๙๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกข้อหนึ่ง

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อริยสัจ ๔ อยู่

ภิกษุพิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อริยสัจ ๔ อยู่ อย่างไรเล่า

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

ย่อมรู้ชัดตามเป็นจริงว่า

นี้ทุกข์

นี้ทุกขสมุทัย

นี้ทุกขนิโรธ

นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ฯ


ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขอริยสัจเป็นไฉน

แม้ชาติก็เป็นทุกข์

แม้ชราก็เป็นทุกข์

แม้มรณะก็เป็นทุกข์

แม้โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ก็เป็นทุกข์

แม้ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์

แม้ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์

ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์

โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ฯ



[๒๙๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ก็ชาติเป็นไฉน

ความเกิด
ความบังเกิด
ความหยั่งลงเกิด
เกิดจำเพาะ
ความปรากฏแห่งขันธ์
ความได้อายตนะครบ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ

อันนี้เรียกว่าชาติ ฯ


ก็ชราเป็นไฉน

ความแก่
ภาวะของความแก่
ฟันหลุด
ผมหงอก
หนังเป็นเกลียว
ความเสื่อมแห่งอายุ
ความแก่หง่อมแห่งอินทรีย์ ในหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ

อันนี้เรียกว่าชรา ฯ


ก็มรณะเป็นไฉน

ความเคลื่อน
ภาวะของความเคลื่อน
ความแตกทำลาย
ความหายไป
มฤตยู
ความตาย
ความทำกาละ
ความทำลายแห่งขันธ์
ความทอดทิ้งซากศพไว้
ความขาดแห่งชีวิตินทรีย์ จากหมู่สัตว์นั้นๆ ของเหล่าสัตว์นั้นๆ

อันนี้เรียกว่ามรณะ ฯ


ก็โสกะเป็นไฉน

ความแห้งใจ
กิริยาที่แห้งใจ
ภาวะแห่งบุคคลผู้แห้งใจ
ความผาก ณ ภายใน
ความแห้งผาก ณ ภายใน
ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว

อันนี้เรียกว่าโสกะ ฯ


ก็ปริเทวะเป็นไฉน

ความคร่ำครวญ
ความร่ำไรรำพัน
กิริยาที่คร่ำครวญ
กิริยาที่ร่ำไรรำพัน
ภาวะของบุคคลผู้คร่ำครวญ
ภาวะของบุคคลผู้ร่ำไรรำพัน
ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว

อันนี้เรียกว่าปริเทวะ ฯ


ก็ทุกข์เป็นไฉน

ความลำบากทางกาย
ความไม่สำราญทางกาย
ความเสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เป็นทุกข์ เกิดแต่กายสัมผัส

อันนี้เรียกว่าทุกข์ ฯ


ก็โทมนัสเป็นไฉน

ความทุกข์ทางจิต
ความไม่สำราญทางจิต
ความเสวยอารมณ์อันไม่ดีที่เป็นทุกข์ เกิดแต่มโนสัมผัส

อันนี้เรียกว่าโทมนัส ฯ


ก็อุปายาสเป็นไฉน

ความแค้น
ความคับแค้น
ภาวะของบุคคลผู้แค้น
ภาวะของบุคคลผู้คับแค้น
ของบุคคลผู้ประกอบด้วยความพิบัติอย่างใดอย่างหนึ่ง
ผู้ถูกธรรมคือทุกข์อย่างใดอย่างหนึ่งกระทบแล้ว

อันนี้เรียกว่าอุปายาส ฯ


ก็ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รัก ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน

ความประสบความพรั่งพร้อม ความร่วม ความระคน

ด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
อันไม่น่าปรารถนา ไม่น่าใคร่ ไม่น่าพอใจ หรือ

ด้วยบุคคลผู้

ปรารถนา สิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์
ปรารถนา สิ่งที่ไม่เกื้อกูล
ปรารถนา ความไม่ผาสุก
ปรารถนา ความไม่เกษมจากโยคะ

ซึ่งมีแก่ผู้นั้น

อันนี้เรียกว่า ความประจวบกับสิ่งไม่เป็นที่รักก็เป็นทุกข์ฯ


ก็ความพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน

ความไม่ประสบ ความไม่พรั่งพร้อม ความไม่ร่วม ความไม่ระคน

ด้วย รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ
อันน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ หรือ

ด้วยบุคคลผู้

ปรารถนา ประโยชน์
ปรารถนา สิ่งที่เกื้อกูล
ปรารถนา ความผาสุก
ปรารถนา ความเกษมจากโยคะ คือ

มารดา บิดา พี่ชาย น้องชาย พี่หญิง น้องหญิง มิตร อมาตย์ หรือ ญาติสาโลหิต

ซึ่งมีแก่ผู้นั้น

อันนี้เรียกว่า ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักก็เป็นทุกข์ ฯ


ก็ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้น ก็เป็นทุกข์ เป็นไฉน

ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์
ผู้มี ความเกิด เป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า

โอหนอ ขอเราไม่พึงมี ความเกิด เป็นธรรมดา
ขอ ความเกิด อย่ามีมาถึงเราเลย

ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์

ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์
ผู้มี ความแก่ เป็นธรรมดา อย่างนี้ว่า

โอหนอ ขอเราไม่พึงมี ความแก่ เป็นธรรมดา
ขอ ความแก่ อย่ามีมาถึงเราเลย

ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์

ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์
ผู้มี ความเจ็บ เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า

โอหนอ ขอเราไม่พึงมี ความเจ็บ เป็นธรรมดา
ขอ ความเจ็บ อย่ามีมาถึงเราเลย

ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่า ปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์

ความปรารถนาย่อมบังเกิดแก่สัตว์
ผู้มี ความตาย เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า

โอหนอขอเราไม่พึงมี ความตาย เป็นธรรมดา
ขอ ความตาย อย่ามีมาถึงเราเลย

ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์

ความปรารถนา ย่อมบังเกิดแก่สัตว์
ผู้มี โสก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส
เป็นธรรมดาอย่างนี้ว่า

โอหนอ ขอเราไม่พึงมี โสก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส เป็นธรรมดา
ขอ โสก ปริเทว ทุกข โทมนัส อุปายาส อย่ามีมาถึงเราเลย

ข้อนั้นสัตว์ไม่พึงได้สมความปรารถนา
แม้ข้อนี้ ก็ชื่อว่าปรารถนาสิ่งใดไม่ได้ แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์


ก็โดยย่อ อุปาทานขันธ์ ๕ เป็นทุกข์ เป็นไฉน

อุปาทานขันธ์ คือ

รูป

เวทนา

สัญญา

สังขาร

วิญญาณ


เหล่านี้เรียกว่า โดยย่อ อุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ เป็นทุกข์ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขอริยสัจ ฯ


[๒๙๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ก็ทุกขสมุทัยอริยสัจ เป็นไฉน

ตัณหานี้ใด

อันมีความเกิดอีก ประกอบ

ด้วยความกำหนัด

ด้วยอำนาจความเพลิดเพลิน เพลิดเพลินยิ่งนักในอารมณ์นั้นๆ คือ

กามตัณหา

ภวตัณหา

วิภวตัณหา ฯ


[๒๙๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย

ก็ตัณหานี้นั้น เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่ไหน

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่ไหน

ที่ใดเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น

เมื่อจะเกิด ย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้



อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ฯ

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้

รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้

จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้

จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส
มโนสัมผัส เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้

จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้

รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา ธัมมสัญญา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้

รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา
ธัมมสัญเจตนา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้

รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้

รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธัมมวิตก
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้

รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อจะเกิดย่อมเกิดในที่นี้

เมื่อจะตั้งอยู่ ย่อมตั้งอยู่ในที่นี้


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขสมุทัยอริยสัจ ฯ

[๒๙๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธอริยสัจเป็นไฉน

ความสำรอก และ

ความดับโดยไม่เหลือ

ความสละ

ความส่งคืน

ความปล่อยวาง

ความไม่มีอาลัย

ในตัณหานั้น


ก็ตัณหานั้น

เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่ไหน

เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่ไหน

ที่ใดเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหานั้น

เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับ ย่อมดับในที่นี้


อะไรเป็นที่รักที่เจริญใจในโลก ฯ

ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

รูปเสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ
มโนวิญญาณ เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

จักขุสัมผัส โสตสัมผัส ฆานสัมผัส ชิวหาสัมผัส กายสัมผัส มโนสัมผัส
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

จักขุสัมผัสสชาเวทนา โสตสัมผัสสชาเวทนา ฆานสัมผัสสชาเวทนา
ชิวหาสัมผัสสชาเวทนา กายสัมผัสสชาเวทนา มโนสัมผัสสชาเวทนา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

รูปสัญญา สัททสัญญา คันธสัญญา รสสัญญา โผฏฐัพพสัญญา
ธัมมสัญญา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

รูปสัญเจตนา สัททสัญเจตนา คันธสัญเจตนา รสสัญเจตนา โผฏฐัพพสัญเจตนา
ธัมมสัญเจตนา เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

รูปตัณหา สัททตัณหา คันธตัณหา รสตัณหา โผฏฐัพพตัณหา ธัมมตัณหา
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

รูปวิตก สัททวิตก คันธวิตก รสวิตก โผฏฐัพพวิตก ธัมมวิตก
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้

รูปวิจาร สัททวิจาร คันธวิจาร รสวิจาร โผฏฐัพพวิจาร ธัมมวิจาร
เป็นที่รักที่เจริญใจในโลก

ตัณหา เมื่อบุคคลจะละ ย่อมละเสียได้ในที่นี้

เมื่อจะดับย่อมดับในที่นี้


ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธอริยสัจ ฯ


[๒๙๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจเป็นไฉน

นี้คือมรรคมีองค์ ๘ อันประเสริฐ คือ


สัมมาทิฏฐิ

สัมมาสังกัปปะ

สัมมาวาจา

สัมมากัมมันตะ

สัมมาอาชีวะ

สัมมาวายามะ

สัมมาสติ

สัมมาสมาธิ



ก็สัมมาทิฏฐิเป็นไฉน

ความรู้ในทุกข์
ความรู้ในทุกขสมุทัย
ความรู้ในทุกขนิโรธ
ความรู้ในทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา

อันนี้เรียกว่า สัมมาทิฏฐิ ฯ



สัมมาสังกัปปะ เป็นไฉน

ความดำริในการออกจากกาม
ความดำริในความไม่พยาบาท
ความดำริในอันไม่เบียดเบียน

อันนี้เรียกว่า สัมมาสังกัปปะ ฯ



สัมมาวาจา เป็นไฉน

การงดเว้นจากการพูดเท็จ
งดเว้นจากการพูดส่อเสียด
งดเว้นจากการพูดคำหยาบ
งดเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ

อันนี้เรียกว่าสัมมาวาจา ฯ



สัมมากัมมันตะ เป็นไฉน

การงดเว้นจากการฆ่าสัตว์
งดเว้นจากการถือเอาสิ่งของที่เขามิได้ให้
งดเว้นจากการประพฤติผิดในกาม

อันนี้เรียกว่า สัมมากัมมันตะ ฯ


สัมมาอาชีวะ เป็นไฉน

อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ ละการเลี้ยงชีพที่ผิดเสีย
สำเร็จการเลี้ยงชีพ ด้วยการเลี้ยงชีพที่ชอบ

อันนี้เรียกว่า สัมมาอาชีวะ ฯ



สัมมาวายามะ เป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เกิดฉันทะ พยายาม ปรารภความเพียร
ประคองจิตไว้ ตั้งจิตไว้

เพื่อมิให้ อกุศลธรรมอันลามก ที่ยังไม่เกิด บังเกิดขึ้น
เพื่อละ อกุศลธรรมอันลามก ที่บังเกิดขึ้นแล้ว
เพื่อให้ กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดบังเกิดขึ้น
เพื่อความตั้งอยู่ ไม่เลือนหาย เจริญยิ่ง ไพบูลย์ มีขึ้น เต็มเปี่ยม
แห่งกุศลธรรม ที่บังเกิดขึ้นแล้ว

อันนี้เรียกว่า สัมมาวายามะ ฯ



สัมมาสติ เป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

พิจารณาเห็นกายในกายอยู่

มีความเพียร

มีสัมปชัญญะ

มีสติ

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่

มีความเพียร

มีสัมปชัญญะ

มีสติ

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่

มีความเพียร

มีสัมปชัญญะ

มีสติ

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑

พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่

มีความเพียร

มีสัมปชัญญะ

มีสติ

กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ ๑ ฯ


อันนี้เรียกว่า สัมมาสติ ฯ


สัมมาสมาธิ เป็นไฉน

ภิกษุในธรรมวินัยนี้

สงัดจากกาม สงัดจากอกุศลธรรม
บรรลุปฐมฌาน
มีวิตก มีวิจาร มีปีติและสุขเกิดแต่วิเวกอยู่

เธอบรรลุทุติยฌาน
มีความผ่องใสแห่งจิตในภายใน เป็นธรรมเอกผุดขึ้น
เพราะวิตกวิจารสงบไป ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่

เธอมีอุเบกขา มีสติ มีสัมปชัญญะ เสวยสุขด้วยกาย เพราะปีติสิ้นไป
บรรลุตติยฌานที่พระอริยทั้งหลาย สรรเสริญว่า
ผู้ได้ฌานนี้ เป็นผู้มีอุเบกขา มีสติอยูเป็นสุข

เธอบรรลุจตุตถฌาน
ไม่มีทุกข์ไม่มีสุข เพราะละสุขละทุกข์ และดับโสมนัสโทมนัสก่อนๆ ได้
มีอุเบกขาเป็นเหตุให้สติบริสุทธิ์อยู่


อันนี้เรียกว่า สัมมาสมาธิ ฯ

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อันนี้เรียกว่า ทุกขนิโรธคามิมีปฏิปทาอริยสัจ ฯ

ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อม


พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ภายในบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรมในธรรม ทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเกิดขึ้นในธรรมบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ความเสื่อมในธรรมบ้าง

พิจารณาเห็น ธรรม คือ ทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมในธรรมบ้าง

ย่อมอยู่


อีกอย่างหนึ่ง สติของเธอที่ตั้งมั่นอยู่ว่า ธรรมมีอยู่


ก็เพียงสักว่า ความรู้

เพียงสักว่า อาศัยระลึกเท่านั้น


เธอเป็นผู้ อันตัณหาและทิฐิไม่อาศัยอยู่แล้ว และไม่ถือมั่นอะไรๆในโลก

ดูกรภิกษุทั้งหลาย อย่างนี้แล ภิกษุชื่อว่า พิจารณาเห็นธรรมในธรรม คือ อริยสัจ ๔ อยู่

จบสัจจบรรพ



จบธัมมานุปัสสนา




[๓๐๐] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ผู้ใดผู้หนึ่ง

พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๗ ปียกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๖ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๖ ปียกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๕ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๕ ปียกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๔ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๔ ปียกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๓ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๓ ปียกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๒ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๒ ปียกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๑ ปี
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๑ ปียกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่ง พึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ตลอด ๗ เดือน
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๗ เดือนยกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๖ เดือน
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๖ เดือนยกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๕ เดือน
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๕ เดือนยกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๔ เดือน
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๔ เดือนยกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๓ เดือน
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๓ เดือนยกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๒ เดือน
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๒ เดือนยกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๑ เดือน
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


๑ เดือนยกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด กึ่งเดือน
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑


กึ่งเดือนยกไว้

ผู้ใดผู้หนึ่งพึงเจริญสติปัฏฐานทั้ง ๔ นี้ อย่างนี้ ตลอด ๗ วัน
เขาพึงหวังผล ๒ ประการ
อย่างใดอย่างหนึ่ง คือ
พระอรหัตผลในปัจจุบัน ๑ หรือ
เมื่อยังมีอุปาทิเหลืออยู่ เป็นพระอนาคามี ๑



ดูกรภิกษุทั้งหลาย

หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก

เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์

เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ

เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส

เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง

เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน

หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน ๔ ประการ


ฉะนี้แล คำที่เรากล่าว

ดังพรรณนามาฉะนี้

เราอาศัย เอกายนมรรค กล่าวแล้ว


พระผู้มีพระภาคตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว

ภิกษุเหล่านั้น ยินดี ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาคแล้ว ฉะนี้แล ฯ


จบมหาสติปัฏฐานสูตร ที่ ๙







ไม่มีความคิดเห็น: